รีวิวหนังสือ สมองแห่งความสำเร็จของนักจัดระเบียบความคิด
หนังสือ “สมองแห่งความสำเร็จของนักจัดระเบียบความคิด” เล่มนี้ ได้รวบรวมเคล็ดลับ 40 ข้อ ที่ “พกจูฮวัน” นักให้คำปรึกษาด้านการจัดการความคิดอันดับ 1 ของเกาหลีใต้อยากแนะนำให้คุณรู้จัก หนังสือเล่มนี้จะพาคุณไปรู้จักกับเครื่องมือต่าง ๆ ที่ช่วยถ่ายทอดความคิดที่มีอยู่ในหัวออกมาให้มองเห็นได้ด้วยตา ทำให้เราได้ตรวจสอบความคิดของตัวเองและนำไปสู่การปฏิบัติจริงได้ง่ายขึ้น เช่น WLB, Mind Map, Mandala-Art, Logic Tree ฯลฯ โดยกล่าวถึงที่มาและความสำคัญ ประโยชน์ ข้อดีข้อเสีย และวิธีการใช้เครื่องมือ ตลอดจนแนะนำเครื่องมือที่เหมาะสมกับเรื่องต่าง ๆ ได้แก่ การจัดการความคิด การจัดการเวลา การจัดการเป้าหมาย และการจัดการปัญหา พร้อมปลุกพลังสมองและจัดระเบียบความคิดไปกับหนังสือเล่มนี้ แล้วชีวิตของคุณจะเปลี่ยนไปในทิศทางที่ดี!
10 เทคนิคจัดระเบียบความคิด เพื่อเพิ่มโอกาสสำเร็จให้ชีวิต จากหนังสือ สมองแห่งความสำเร็จของนักจัดระเบียบความคิด
1. การจัดระเบียบทางความคิด เป็นเคล็ดลับเพื่อนำไปสู่ความสำเร็จ
มีตัวอย่างซีอีโอมากมายที่ทำงานได้อย่างฉับไวและมีประสิทธิภาพ เพียงเพราะจัดระเบียบความคิดในหัวเป็นเมื่อซีอีโอเหล่านี้ฝึกจัดระเบียบความคิดในหัวอย่างเป็นประจำแล้ว การตัดสินใจของเขาก็ทำได้รวดเร็ว เมื่อมีไอเดียใหม่ จึงคิดออกทันทีว่าต้องโทรหาใคร
นอกจากนี้แล้ว การจัดระเบียบความคิดยังเป็นขั้นแรกในการนำไปสู่การลงมือทำที่มีประสิทธิภาพมากขึ้นและถ้าลงมือทำอย่างต่อเนื่องแล้ว ความสำเร็จก็อยู่ไม่ไกลเกินเอื้อมแน่นอน
2. หลักการจัดระเบียบความคิด สามารถใช้หลัก “แจก-จำ-จัด” ได้เหมือนการจัดบ้าน
โดยเริ่มจาก การ “แจกแจง” สิ่งที่ต้องทำทั้งหมดออกมาก่อนจากนั้นก็เริ่ม “จำแนก” ประเภทสิ่งที่ต้องทำ เช่นเรื่องงาน เรื่องเรียน เรื่องในบ้าน เรื่องครอบครัวสุดท้ายจึงเริ่ม “จัดลำดับความสำคัญ” ให้กับสิ่งที่จำแนกไว้ ถ้าเรื่องไหนสำคัญและเร่งด่วนก็ทำก่อน แต่ความจริงแล้วถ้าเราจัดระเบียบชีวิตดี ๆ เราจะไม่เจอสำคัญที่เร่งด่วนเลย
3. เทคนิคการจัดระเบียบความคิด 3 ประเภทที่ควรใช้ควบคู่กันไป
- เขียนบรรยาย – เพื่อให้เก็บรายละเอียดของข้อมูลให้ได้มากที่สุด
- เขียนสรุปย่อ – เพื่อให้เข้าใจประเด็นสำคัญ และมองเห็นภาพรวม
- เขียนเป็นภาพ – เพื่อให้เข้าใจเนื้อหาได้ชัดเจนมากขึ้น
นักจัดระเบียบความคิดที่ดี จะทำทั้งสามอย่างควบคู่กันไป เพราะแต่ละวิธีมีข้อดีข้อเสียที่แตกต่างกัน
4. กลยุทธ์การเขียน mind map ด้วยการเชื่อมโยง 4 แบบ
แบบที่ 1: เชื่อมโยงแบบหลวม หรือแบบอ้อม
เช่น “หมาสีน้ำตาล น้ำตาลคือถุงกระดาษ ถุงกระดาษไว้ดื่มกาแฟ กาแฟทำให้สดชื่นตอนเช้า เช้าง่วงนอน….” ทำแบบนี้ต่อไปเรื่อยๆ วิธีการเชื่อมโยงแบบหลวม ๆ แม้จะดูหาความสัมพันธ์ของสิ่งต่าง ๆ ยาก แต่บางครั้งก็อาจทำให้เราคิดเดียใหม่ ๆ ออก ด้วยการนำสิ่งไกล ๆ มารวมเข้าด้วยกัน
แบบที่ 2: เชื่อมโยงแบบแข็งแกร่ง
เป็นการคิดเชื่อมโยงสิ่งที่เกี่ยวข้องกัน หมวดหมู่เดียวกัน โดยอาจเริ่มจากส่วนหลักที่กว้างก่อน แล้วค่อย ๆ ไล่ไปที่ส่วนย่อยเช่น เริ่มที่อาหาร และต่อด้วย ราเมง ข้าวเหนียวไก่ย่าง ข้าวเหนียวหมูปิ้ง สำตำ น้ำตก พิซซ่า สปาเกตตี้ เป็นต้น
แบบที่ 3: เชื่อมโยงแบบคล้ายคลึง
เป็นการหาของสองสิ่งมาเชื่อมกันด้วยวิธีการอุปมา และอุปลักษณ์อุปมา คือใช้คำแต่งเติมข้อความด้วย การบอกว่าสิ่งนั้น “เหมือน ราวกับ ดั่ง ประดุจ” เช่น สวยเหมือนนางฟ้า อร่อยเหมือนอดอาหารมาหลายวัน โกรธเหมือนโดนใครต่อยหน้ามา ส่วนอุปลักษณ์ เป็นการเปรียบเทียบของสิ่งหนึ่ง กับอีกสิ่งหนึ่ง ซึ่งเน้นคุณสมบัติที่เหมือนกันภายในไม่ใช่ภายนอก เช่น สมาร์ทโฟนเหมือนอวัยวะชิ้นที่ 33 อยู่กับแฟนตัวติดกันเหมือนปาท่องโก๋ เป็นคู่ดูโอ้กันมานานเหมือนวงลิปตา
แบบที่ 4: เชื่อมโยงแบบตรงกันข้าม
คือคิดในสิ่งที่ตรงกันข้ามโดยสิ้นเชิง เช่น มีบนก็มีล่าง มีวิกฤตก็มีโอกาส มีเกิดขึ้นก็มีดับไป
5. บริหารเวลาแบบไครอส (Kairos) แทนแบบโครนอส (Chronos)
โครนอส (Chronos) เป็นการใช้เวลาเชิงปริมาณ เหมือนเวลาที่เราวัดว่าผ่านไปแล้วกี่นาที กี่ชั่วโมงเช่น วันนี้ทำงาน 8 ชั่วโมง นอน 7 ชั่วโมง เป็นต้น
ไครอส (Kairos) เป็นการใช้เวลาเชิงคุณภาพ จะเกิดขึ้นเมื่อเรามีสมาธิจดจ่ออยู่กับสิ่งตรงหน้าแล้วตั้งใจทำมันอย่างเต็มที่ เราจะดื่มด่ำกับสิ่งนั้นนานจนลืมเวลาบนหน้าปัด
ช่วงเวลาแบบนี้อาจเกิดขึ้นในตอนที่เราอยู่กับคนรัก ได้อ่านหนังสือเล่มโปรด หรือเล่นกีฬาแล้วเพลินเราอาจไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปเท่าไหร่แล้ว แต่ความรู้สึกที่ได้จะอิ่มเอมมาก
ถ้าเราใช้เวลาแบบไครอสในแต่ละวัน เราจะพบว่าชีวิตเรามีประสิทธิภาพมากขึ้นแต่ละวันผ่านไปอย่างมีคุณภาพ ไม่ใช่แค่ผ่านไปตามหน่วยวัดเวลาเฉย ๆ
6. 5 จุดเช็คพ็อยต์ในการเขียน To Do List ที่ดี
- จำแนกหมวดหมู่สิ่งที่ต้องทำ
- จัดลำดับความสำคัญ
- กำหนดเดดไลน์ให้ชัดเจน
- ระบุผู้รับผิดชอบให้ชัดเจน
- นำ To Do List ไปติดไว้ หรือวางไว้ในจุดที่ทุกคนมองเห็นได้ง่าย
7. แบ่งเวลาในที่ทำงานด้วยหลักการ 70:15:10:5
- ทำงานหลัก 70% ด้วยใจจดจ่อ – เพื่อเพิ่มผลิตภาพ (productivity) และคุณภาพของผลงาน
- ลงทุนไปกับงานเพื่อนอนาคต 15% – เพื่อเตรียมตัวเองให้พร้อมสำหรับงานในอนาคต หมั่นพัฒนาความสามารถของตัวเองอยู่เสมอ
- งานครั้งเดียว 10% ต้องควบคุม – เช่นงานประชุม ต้องทำให้มีประสิทธิภาพ ต้องไม่เสียเวลาในการประชุมไปเปล่า ๆ
- งานเสริม 5% ที่ต้องลดทอน – เพราะเป็นงานที่ไม่ได้ช่วยสร้างคุณค่าใด ๆ แต่ต้องทำเพื่อส่งเสริมให้ทำงานหลักได้ งานประเภทนี้ต้องพยายามทำให้เป็นอัตโนมัติ หรือทำอย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุด
8. จัดระเบียบเป้าหมายด้วยการคิดแบบย้อนกลับ (Backcasting)
การพยากรณ์ย้อนกลับ (Backcasting) ตรงกันข้ามกับการพยากรณ์ไปข้างหน้าแบบปกติ (forecasting) ทั้งสองวิธีมีข้อดีข้อเสียที่ต่างกันโดยการพยากรณ์ไปข้างหน้า (forecasting) จะเน้นการใช้ข้อมูลในอดีต มาวิเคราะห์และทำนายผลลัพธ์ในอนาคต ซึ่งอาจทำให้เรายึดติดกับสิ่งที่เกิดขึ้นในอดีตและอาจไม่ได้เกิดไอเดียใหม่ ๆ
ในขณะที่การพยากรณ์ย้อนกลับ (Backcasting) จะเริ่มจากการตั้งเป้าหมายในอนาคตไกล ๆ ก่อน อาจเป็นหลัก 10 ปี แล้วค่อย ๆ มองกลับมาเป็นเป้าหมายระกลาง 3-5 ปี และคิดกลับมาเป็นเป้าหมายภายในปีนี้
การคิดแบบย้อนกลับมีข้อดีตรงที่เราไม่จำเป็นต้องยึดติดกับข้อมูลในอดีต และสามารถออกนอกกรอบความคิดแบบเดิม ๆ ได้ อาจเหมาะกับคนที่กำลังต้องการวิธีการใหม่ ๆ ในการแก้ปัญหา แต่ก็มีข้อเสียคือการที่อาจไม่ได้อยู่บนพื้นฐานของความเป็นจริง
9. หมั่นคิดทบทวนปัญหา 3 แบบอยู่เสมอ
แบบที่ 1: ปัญหาที่เกิดขึ้นแล้ว
เป็นปัญหาที่มองเห็นได้ชัด เพราะความยุ่งยากได้เกิดขึ้นแล้ว เช่น สอบตก ยอดขายลดลงอย่างต่อเนื่อง ลูกน้องลาออก ปัญหาประเภทนี้ต้องได้รับการแก้ไขอย่างทันท่วงที และวิเคราะห์หาสาเหตุเพื่อป้องกันการเกิดปัญหาในครั้งถัดไป
แบบที่ 2: ปัญหาที่เกิดจากการสำรวจ
เป็นปัญหาที่ยังไม่เกิดขึ้น แต่มีแนวโน้มว่าจะเกิดถ้าเรายังไม่ตัดสินใจทำอะไรปัญหาประเภทนี้มักซ่อนอยู่ มองเห็นได้ไม่ชัด แต่ถ้าเราสำรวจดี ๆ ก็จะระบุมันออกมาได้ เช่น กระดูกสันหลังที่เริ่มคดงอจากการนั่งทำงานติดต่อกันนานเกินไป ยอดขายที่เริ่มลดลงเพราะลูกค้าเปลี่ยนแพลตฟอร์มการช็อปปิ้งของออนไลน์ รถยนต์ที่ใช้ที่อาจนั่งไม่พอถ้ามีลูกเพิ่ม
แบบที่ 3: ปัญหาที่กำหนดขึ้น
ปัญหาประเภทนี้เกิดจากการกำหนดเป้าหมายของตัวเองขึ้นมา แต่เป้าหมายเหล่านั้นจะกลายเป็นปัญหาถ้าเราไม่วางแผนที่จะทำให้ตัวเองบรรลุเป้าได้ เช่น การตั้งเป้าอยากมีคนตาม Youtube 1 ล้านคน อยากเก็บเงินให้ได้ 10 ล้านบาท อยากเพิ่มยอดขายให้บริษัท 20%
เราไม่ควรโฟกัสไปที่ปัญหาแบบที่ 1 เพียงอย่างเดียว แต่ควรหมั่นสำรวจปัญหาแบบที่ 2 ที่มองเห็นได้ยาก และหมั่นให้ความสำคัญกับปัญหาแบบที่ 3 ที่เกิดจากเป้าหมายของเราเองด้วย
10. ออกจากหลุมพรางการคิดแก้ปัญหาแบบ How
เมื่อเจอปัญหา หลายคนมักเอาแต่คิดว่า “จะแก้ปัญหาอย่างไร”ซึ่งหลายครั้งทำให้เราวิเคราะห์ปัญหาผิดพลาด และมองไม่เห็นแก่นแท้ของมัน เช่น การที่เงินไม่พอใช้ ก็คิดจะแก้ด้วยวิธีประหยัดเพียงอย่างเดียว แบบนี้อาจไม่ใช่วิธีแก้ปัญหาที่ดี เพราะการที่เงินไม่พอ เราอาจใช้วิธีหาเงินเพิ่มได้ ด้วยการสร้างรายได้ทางอื่น หรือพัฒนาความสามารถของตัวเองให้เหมาะสมกับเงินเดือนที่มากขึ้น
ดังนั้นเมื่อเจอปัญหา ลองถอบมา 1 ก้าวแล้ววิเคราะห์ดี ๆ ก่อน อย่าเพิ่งรีบคิดแต่ว่าจะแก้ปัญหาอย่างไรตั้งแต่แรก
รีวิวสั้น ๆ หลังอ่าน
เป็นหนังสือรวมเทคนิคจัดระเบียบความคิด ส่งตรงจากเกาหลี โดยนักเขียนเลื่องชื่อด้านจัดระเบียบความคิด พกจูฮวันต้องบอกว่าหนังสือพกเครื่องมือและเทคนิคในการจัดระเบียบความคิดมาแบบจัดเต็มมาก หลายเครื่องมือหนังสือบรรยายได้ละเอียด จนยากที่จะสรุปมาลงโพสต์ได้
ถ้าใครอยากรู้จักเครื่องมือช่วยให้เราเรียบเรียงความคิดตัวเองได้ดีขึ้น คิดอย่างเป็นระบบ และลงมือทำอย่างมีแบบแผนมากขึ้น ยังไงก็ลองหยิบเล่มนี้มาอ่าน แล้วเลือกเครื่องมือที่ตัวเองสนใจไปใช้ดูครับ
ผู้เขียน: พกจูฮวัน
ผู้แปล: สุมาลี สูนจันทร์
จำนวนหน้า: 272 หน้า
สำนักพิมพ์ : อมรินทร์ How To
เดือนปีที่พิมพ์: 8/2022
ชื่อเรื่องต้นฉบับ: I Will Organize Your Thoughts
บทความอื่นที่น่าสนใจ