รีวิวหนังสือ » ข้อคิด จากหนังสือ Live in Peace ไม่เป็นบ้าไปกับโลก

ข้อคิด จากหนังสือ Live in Peace ไม่เป็นบ้าไปกับโลก

30 สิงหาคม 2024
149   0

ข้อคิด จากหนังสือ Live in Peace ไม่เป็นบ้าไปกับโลก

หนังสือ Live in Peace ไม่เป็นบ้าไปกับโลก

หนังสือ Live in Peace ไม่เป็นบ้าไปกับโลก เล่มนี้ของ “นิ้วกลม” เป็นเหมือนเพื่อนคู่คิดสำหรับทุกคนที่รู้สึกเหนื่อยล้า สับสน หรือวิตกกังวลกับชีวิตในยุคปัจจุบันที่เร่งรีบและเต็มไปด้วยความเปลี่ยนแปลง หนังสือเล่มนี้จะพาคุณออกเดินทางไปค้นหาความสงบภายในใจ ท่ามกลางโลกที่วุ่นวาย

1. ในโลกวัตถุนิยมที่เราต่างมีความต้องการเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ

ความสุขอาจไม่ได้หาได้จากการที่เรารวยขึ้น มีมากขึ้น ได้เลื่อนตำแหน่ง ถูกล็อกเตอรี่ หรือเจอรักแท้แต่ความสุขอาจเกิดจาก “ความรู้สึกพึงพอใจ” ลึก ๆ ภายในใจเรา ซึ่งเกิดจากการหลั่งสารเคมีภายในร่างกาย ทั้งโดพามีน เซราโทนิน และออกซิโตซิน การควบคุมให้ร่างกายหลั่งสารเคมีเหล่านี้ออกมาอย่างสม่ำเสมอจึงเป็นเรื่องสำคัญแต่ในโลกที่แปรเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว ความสับสนอลหม่านจากสถานการณ์ต่าง ๆ ทำให้การควบคุมเป็นเรื่องยาก สุดท้ายแล้ว เราทุกคนจึงต้องมองหา “ความสงบ” ซึ่งอาจเป็นสิ่งเดียวกันกับ“ความรู้สึกพึงพอใจ” และที่สำคัญคือเราฝึกทักษะนี้ได้

2. เราอาจเหนื่อยกับการวิ่งตาม “สถิติ” ที่ตัวเองอยากสร้างมากเกินไป

เราวัดคุณค่าของตัวเองผ่านเป้าหมายมากมายที่ตั้งไว้ไม่ว่าจะเป็น การวิ่งให้ได้วันละ 10 km การควบคุมปริมาณการกินในแต่ละวัน การโพสต์ภาพอวดลงโซเชียลเพื่อเรียกยอดไลค์ ถ้าวันไหนเราทำได้ดี ร่างกายก็จะหลั่งโดพามีนออกมา แล้วเราก็จะรู้สึกพึงพอใจ แต่ถ้าวันไหนทำได้ไม่ครบตามเป้า เราก็จะรู้สึกกับตัวเองสุดท้ายแล้วเราเองเป็นคนที่ “วัด” และ “ตัดสิน” ตัวเองอยู่ตลอดเวลา

วิธีแก้จากอาการเสพติดเหล่านี้คือ เราต้องไม่ยึดติดกับ “เป้าหมาย” แต่เปลี่ยนมาอยู่กับ “หลักการ” ของสิ่งที่ทำโดยสิ่งเหล่านั้นต้องทำให้เกิดความสุขในระยะยาว เช่น ถ้าวันไหนวิ่งไม่ได้ครบ 10 km ก็ไม่เป็นไร วิ่งแค่ 3 km บ้าง 5 km บ้างก็ได้ขอให้มีความสม่ำเสมอ และทำให้เรามีสุขภาพที่ดีในระยะยาว และที่สำคัญคือเราไม่จำเป็นต้องโพสต์โอ้อวดให้ใครรู้ ตัวเราเองที่รู้ก็เพียงพอ ไม่แน่ว่าเราอาจได้พบความสุขที่เย็นใจมากกว่าความตื่นเต้นจากยอดไลค์ที่ได้ในโพสต์ก็เป็นได้

3. เราอาจถูกกระตุ้นให้โยกตู้สล็อตแมชชีน อยู่ตลอดเวลา

มนุษย์เรามีความเป็นนักพนันอยู่ในตัว การเล่นพนันก็เพราะว่าเรามีความตื่นเต้นที่อาจได้เงินมากในครั้งนี้ และอาจได้น้อยในครั้งอื่น แต่เรื่องนี้ไม่ได้เกิดขึ้นกับแค่ตู้สล็อตแมชชีน การโพสต์รูปลงโซเชียลเพื่อหวังไลค์และแชร์ รวมถึงผู้ติดตามต่าง ๆ ก็ใช้หลักการเสพติดแบบเดียวกันเพราะมันมีการกระตุ้นให้เราคิดว่า รูปที่เราลงไปอาจได้ไลค์เยอะถ้ายังไม่ได้ ก็ต้องลงรูปอื่นอีกแต่ถ้าได้แล้ว ก็อยากได้รับความรู้สึกนั้นอีก ก็ยังต้องลงอีกอยู่ดี

การเล่น IG ก็ไม่ต่างอะไรกัน เพราะมนุษย์ถูกกระตุ้นจากการเปรียบเทียบกับคนอื่นอยู่ตลอดเวลาแต่สิ่งเหล่านี้สุดท้ายแล้วก็อาจไม่ช่วยเติมเต็มหัวใจเราได้ เหมือนหลายคนที่แม้จะมีคนติดตามกว่าหลักหมื่นแล้ว เราก็ยังรู้สึกเปลี่ยวเหงาที่หัวใจอยู่ดี

4. ความกลัวของคนเราไม่ได้มีเพียงแค่ FOMO แต่ยังมี FOBO (โฟโบ) อีกด้วย

ความกลัวประเภทนี้คือการกลัวว่าเราจะไม่ได้สิ่งที่ดีที่สุดจากการตัดสินใจของเราและหลายครั้งมันทำให้เราหยุดชะงัก ไม่กล้าตัดสินใจ เช่น การเลือกหนังใน Netflix ที่หลายคนเสียเวลาเป็นชั่วโมง เรื่องนี้ดูเหมือนจะเกิดขึ้นเพราะมนุษย์ล้วนเสพติดความสมบูรณ์แบบอยากได้ Option ที่ดีที่สุด สุดท้ายก็เลยกลายเป็นคนลังเล ตัดสินใจอะไรไม่ขาด

แต่จริง ๆ แล้วลึก ๆ มันอาจเกิดจากการที่เราไม่รู้ว่า “ตัวเองต้องการอะไรจริง ๆ”เพราะถ้าเรารู้แล้ว เราก็จะเลือกในสิ่งทีเป็นตัวเองที่สุด และตัดสิ่งที่เหลือออกไปได้ ถ้าเป็นแบบนั้น ทางที่ไม่ได้เลือกก็ไม่ได้น่าเสียดายอะไร

5. แกะสลักสิ่งที่ไม่ใช่ออกไปจากชีวิต

บทเรียนหนึ่งในการตามหาจิตใจที่สงบ คือเราต้องเริ่มจากการแกะสิ่งที่ไม่ใช่ออกไปจากชีวิตชีวิตที่มีอะไรยุ่งเหยิงไปหมด การ “ลด” จึงกลายเป็นสิ่งสำคัญ เราต้องรู้จัก “เลือกมี” และ “เลือกเป็น” เลือกมีเฉพาะในสิ่งที่เราอยากมี และเลือกเป็นในบทบาทที่เหมาะกับเราจริง ๆการเลือกยังรวมไปถึง “เลือกคบ” และให้เวลากับคนที่สำคัญกับเราจริง ๆ

หลักการนี้คือ การทำให้ชีวิตมีน้อย แต่ได้มากคือ เน้นการเสพคุณภาพและดื่มด่ำไปกับรสชาติที่เข้มข้นหอมลึก มากกว่าชีวิตที่มีแต่ปริมาณ

6. ปกป้องเวลาไว้สำหรับสิ่งสำคัญ

เมื่อเราตัดส่วนเกินของชีวิตออกไปแล้วเรายังต้องจัดสรรเวลาให้กับสิ่งที่เหลืออยู่อย่างพอเหมาะวิธีหนึ่งที่เราต้องทำคือ การปกป้องเวลาช่วงเวลาไว้สำหรับสิ่งที่สำคัญจริง ๆ อาจจัดเป็นช่วงเวลาหนึ่งในทุกสัปดาห์ไม่ว่าจะเป็น การใช้เวลากับครอบครัว การพักผ่อน หรือเวลาในการพัฒนาตัวเอง

7. เพราะโลกนี้ทำให้เกิดโรคต่าง ๆ มากมาย

การที่โลกหมุนเร็ว ก็ทำให้เราต้องเร่งความเร็วของตัวเอง ทนอยู่เฉยไม่ได้ อยากจะประสบความสำเร็จเร็ว ๆสุดท้ายก็อาจต้อเผชิญกับภาวะ burnout และปัญหาสุขภาพจิต นอกจากนี้สภาพการณ์ต่าง ๆ ทั้งจากเรื่องรถติด โรคระบาด มลพิษ รวมถึงสภาพเศรษฐกิจ ทำให้คนเราวิตกกังวลกันมากขึ้น และมีความเครียดที่เพิ่มมากขึ้นมันชวนให้เรากลับมาอยู่ในโหมดสู้หรือหนีอยู่ตลอดเวลา

นอกจากนี้แล้ว เหตุการณ์ต่าง ๆ ที่โยนความทุกข์มาให้ อาจเปรียบเหมือน “ลูกดอกลูกที่หนึ่ง” ที่ปามาปักอกเราแต่สิ่งสำคัญกว่า คือเราเองต่างหากที่เป็นคนปัก “ลูกดอกลูกที่สอง” เข้าหาตัวเองซ้ำลงไปมันคือความรู้สึก โกรธ ผิดหวัง ทุกข์ วิตกกังวลหลายคนจึงแทบจะเป็นบ้าไปกับการใช้ชีวิตในโลกใบนี้

8. ลองถอนตัวออกจากโลก

สุดท้ายแล้วเราต้องหาวิธีที่จะไม่จมปลักไปกับโลกที่กำลังเป็นบ้าใบนี้ เราต้องมีวิธีถอนตัวออกมาจากโลก วิธีหนึ่งที่ทำได้คือ การฝึกทำสมาธิลองอยู่กับตัวเอง จำกัดและคัดสรร input ลองจัดหาสถานที่และเวลาที่สงบในการพักผ่อนจิตใจเพราะในบ้านที่สงบ เราจะรู้สึกปลอดภัย คลายความกังวล

9. ลองฝึกเป็นผู้สังเกตการณ์

ลองฝึกมีสมาธิ สังเกตการณ์สิ่งต่าง ๆ ตามแบบที่มันเป็น ไม่ต้องตัดสินไม่ต้องใส่ความรู้สึกเข้าไป ไม่ต้องมีบวกลบปล่อยให้โลกเป็นไปในแบบของมัน

10. ลงจากเวทีการแสดง

เราควรลองหา “ห้องส่วนตัว” ที่เราสามารถอยู่ได้ตามลำพังไม่ว่าจะเป็น บ้านของเรา ที่ชายหาด ทะเล บ้านพักตากอากาศ หรือที่ไหนก็แล้วแต่ลองอยู่กับตัวเอง โดยไม่ต้องสนใจคนอื่นดูไม่ต้องสนว่าคนอื่นจะคิดยังไงกับเรา ไม่ต้องสนใจจำนวนไลค์ในโซเชียลมีเดียลงจากเวทีการแสดงต่อหน้าคนอื่นบ้าง สุดท้ายแล้วส่งที่คนเราขาดไปในโลกปัจจุบันอาจเป็น ความรู้สึกตระหนักถึงคุณค่าของตัวเอง โดยไม่ต้องรอให้คนอื่นมายืนยัน

11. ฝึกอยู่กับปัจจุบัน ตรงนี้ เดี๋ยวนี้

นิสัยหนึ่งที่เราควรฝึกคือ การฝึกสติให้อยู่กับปัจจุบันพักผ่อนอยู่กับตัวเอง และสิ่งที่อยู่ตรงหน้าให้เต็มที่หยุดวิ่งหนีอดีต และหยุดวิ่งไล่ตามอนาคต ลองฝึกสติให้รับรู้ความรู้สึกต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นอย่างตรงไปตรงมาสังเกตความคิด ความรู้สึก อารมณ์ อคติต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในใจสมองของเราอาจค่อย ๆ เปลี่ยน และค่อย ๆ รับรู้ประสบการณ์ตรงหน้าได้ดีขึ้น

12. ฝึกจดจ่อทุกวัน

ฝึกฝนร่างกายและจิตใจให้จดจ่ออยู่กับลมหายใจ คนที่คุยด้วยตรงหน้า งานที่ทำตรงหน้า หรือธรรมชาติที่กำลังมองอยู่อาจลองตั้งชื่อให้ความรู้สึกที่เกิดขึ้นดูถ้าเราโกรธ กังวล เป็นทุกข์ เราก็จะรู้ตัวมากขึ้น วิธีนี้จะทำให้เรามีสมาธิ และลดการเข้าสู่โหมดสู้หรือหนี และทำให้เรารู้สึกว่าโลกปลอดภัยมากขึ้น

การฝึกจดจ่อนั้นอาจทำควบคู่กันไปกับการฝึกนั่งสมาธิวันละ 2 นาที เป็นการฝึกอยู่กับตัวเอง ให้เกิดความมั่นคงภายใน ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นข้างนอกก็ตาม

13. ปรับมุมมองความสุขว่าไม่จำเป็นต้องเป็นสิ่งที่ไขว่ขว้ามา

ถ้าเราเปลี่ยนมุมมองตรงนี้ เงินทอง ชื่อเสียง เกียรติยศ หรือแม้แต่ความรัก จะกลายเป็นแค่สิ่งที่เราอยากได้เพียงระดับหนึ่งแต่ความสุขที่เกิดขึ้น จะอยู่ในใจของเราเองและเรายังถ่ายทอดความสุขนี้ไปให้คนอื่นได้อีกด้วย

14. หาวันใดวันหนึ่งประจำสัปดาห์มาเป็น “วันแห่งสติ”

ซึ่งจะเป็นวันที่เราจดจ่ออยู่กับตัวเองทำทุกสิ่งตรงหน้าอย่างมีสติ ตั้งแต่อยู่บนที่นอน ลุกขึ้นมาแปรงฟันอาบน้ำ ไปกินข้าว ทำกิจกรรมต่าง ๆวันนี้จะเป็นวันที่เราอยู่กับความเงียบ อยู่กับตัวเอง ไม่มีสิ่งรบกวน เราอาจได้พบกับความสงบเย็นภายในใจและรู้สึกเป็นอันหนึ่งอันเดียวไปกับทุกกิจกรรมที่ทำตรงหน้า

15. 5 ขั้นตอนในการตอบสนองต่ออารมณ์ลบ

  • ขั้นที่ 1: หยุด – สงบสบยเคลื่อนไหว
  • ขั้นที่ 2: จดจ่อไปที่ลมหายใจ หายใจลึก ๆ เพื่อให้ร่างกายสงบ
  • ขั้นที่ 3: สังเกต จดจ่อที่ร่างกายตัวเองและสังเกตอารมณ์ที่กำลังเกิดขึ้น เช่น “ฉันรับรู้ถึงอารมณ์โกรธในตัวฉัน”
  • ขั้นที่ 4: ไตร่ตรอง คิดหาเหตุผล และพยายามทำความเข้าใจสถานการณ์
  • ขั้นที่ 5: ตอบสนอง หลังจากไตร่ตรองมาอย่างรอบคอบแล้ว

16. ซึมซึบความรู้สึกดี ๆ

เราจะเจือจางความทรงจำร้าย ๆ ได้ ด้วยประสบการณ์ด้านบวกเราจึงต้องหมั่นเติมความรู้สึกบวกให้ตัวเองอย่างสม่ำเสมอ อาจเริ่มจากการเปลี่ยนข้อเท็จจริงที่เรามองผ่านให้เป็นความรู้สึกดี ๆ สิ่งรอบตัว ความสำเร็จเล็ก ๆ และถ้าเราได้เจอประสบการณ์ที่ดี ให้เราซึมซับมันอย่างเต็มที่อย่าเพิ่งรีบเปลี่ยนความสนใจไปที่สิ่งใหม่แต่เราควรค่อย ๆ ซึมซับประสบการณ์นั้นให้วึมลึกเข้าไปทั้งทางกายและใจ ถ้าเราตั้งใจ ประสบการณ์และความรู้สึกนั้นจะเข้มข้นมากขึ้น มีค่ามากขึ้น และน่าจดจำมากขึ้น

17. แผ่ความรักให้คนอื่น เพื่อความสุขของตัวเอง

เพราะความเห็นอกเห็นใจเป็นสภาวะสูงสุดของความสุขค่อย ๆ เริ่มจากเปลี่ยนแปลงตัวเอง และเริ่มเปลี่ยนแปลงผู้อื่น ถ้าเราทุกคนทำได้มันก็จะค่อย ๆ ขยายวงกว้างไปและสุดท้ายก็อาจช่วยเปลี่ยนแปลงโลกอันเป็นบ้าใบนี้ได้

รีวิวสั้น ๆ หลังอ่าน

เป็นหนังสือที่นิ้วกลมเขียนโดยใช้เวลาเพียง 3 วัน 5 ชั่วโมง ตอนไปเข้าถ้ำส่วนตัว เช่นเดียวกับตอนที่เขียน Have a nice lifeต้องบอกว่าเมื่อเทียบกันแล้ว เล่มนี้ไม่เชิงเป็นหนังสือพัฒนาตัวเองแต่เป็นหึ่งหนังสือฝึกสติ ฝึกจิตใจให้ผ่อนคลาย ฝึกชีวิตให้ช้าลงกับโลกที่หมุนเร็วและแทบจะเป็นบ้ามากขึ้นเรื่อย ๆ

Live in Peace มีคอนเซ็ปต์ที่ล้อมาจาก Rest in Peace ที่เรามันอวยพรให้ผู้วายชนแต่คำถามคือ การใช้ชีวิตให้สงบสุขนั้นทำได้ยากมาก ในโลกที่ดูเหมือนจะวุ่นวายมากขึ้นเรื่อย ๆ การทำความเข้าใจสาเหตุปัจจัยที่ทำให้เราแทบเป็นบ้ากับชีวิตตัวเอง และการถอนตัวออกมาจากโลกที่วุ่นวายด้วยการฝึกสติ จึงเป็นสิ่งสำคัญมาก

รู้สึกได้ชัดเจนว่านิ้วกลมทำหน้าที่ประสานเรื่องบ้า ๆ ที่เกิดขึ้นในโลกปัจจุบัน กับวิธีปฏิบัติเชิงจิตวิญญาณได้ดีมากยอมรับว่าครึ่งแรกของหนังสือ เป็นจิตวิทยา และเป็นเนื้อหาที่ย่อยง่าย เพราะเป็นการอธิบายถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในปัจจุบันแต่ครึ่งหลังมีความเป็นจิตวิญญาณ และปรัชญา เริ่มอ่านยากขึ้น และต้องใชเวลาในการตกผลึกมากขึ้น แต่โดยรวมแล้ว ก็ยังคิดว่าเป็นเล่มที่แนะนำให้ทุกคนลองอ่านกันดู เพราะเนื้อหาแฝงข้อคิดสำคัญในการใช้ชีวิตในโลกปัจจุบันไว้หลายข้อ


ผู้เขียน นิ้วกลม จำนวนหน้า: 304 หน้า สำนักพิมพ์: KOOB, สนพ. เดือนปีที่พิมพ์: 2022


บทความอื่นที่น่าสนใจ