น้ำหมักปลา (สูตรเร่งรัด) ช่วยเร่งการเจริญเติบโตของพืช
ในยุคที่เกษตรกรให้ความสำคัญกับการทำเกษตรอินทรีย์และการลดการใช้สารเคมี น้ำหมักปลา กลายเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลาย น้ำหมักปลาคือปุ๋ยชีวภาพที่ได้จากการหมักปลาหรือเศษปลา รวมกับกากน้ำตาลและจุลินทรีย์ที่ช่วยย่อยสลายสารอินทรีย์ให้กลายเป็นสารอาหารที่พืชสามารถดูดซึมได้ง่าย
น้ำหมักปลา อุดมไปด้วยธาตุอาหารสำคัญ เช่น ไนโตรเจน ฟอสฟอรัส และโพแทสเซียม ซึ่งช่วยเร่งการเจริญเติบโตของพืช ทำให้ใบเขียวสด แข็งแรง และเพิ่มผลผลิตได้ดี อีกทั้งยังช่วยปรับปรุงดินให้มีความสมบูรณ์ ลดการใช้ปุ๋ยเคมี และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เหมาะสำหรับเกษตรกรที่ต้องการลดต้นทุนและเพิ่มคุณภาพของพืชผลอย่างยั่งยืน
ในบทความนี้ เราจะพาคุณไปทำความรู้จักกับกระบวนการทำน้ำหมักปลา ประโยชน์ที่ได้รับ และวิธีการใช้งานอย่างถูกต้อง เพื่อให้คุณสามารถนำไปประยุกต์ใช้กับแปลงเกษตรของคุณได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ส่วนผสมน้ำหมักปลา
- เศษปลาหรือปลาทั้งตัว(ปลาทะเล) 3 กิโล
- กากน้ำตาล 1 ลิตร (หรือน้ำตาลทรายแดง 1-2 กิโล)
- รำละเอียด 1 กิโล
- สับปะรด 1 หัว (หั่นเป็นชิ้นเล็กๆ ทั้งเปลือก)
- น้ำมะพร้าว 2 ลูก (อ่อนหรือแก่ก็ได้)
- พด.2 หนึ่งซอง (หรือน้ำหมักจาวปลวกหนึ่งลิตร)
- น้ำเปล่า 10 ลิตร (ไม่มีคลอรีน)
การทำน้ำหมักปลา
ผสมทุกอย่างให้เข้ากัน ปิดฝาให้สนิทตั้งทิ้งไว้ในที่ร่ม เปิดคนวันละ 2 ครั้ง เช้า-เย็น พอครบ 7วัน เติมกากน้ำตาลอีก 1 ลิตร(หรือน้ำตาลทรายแดงอีก 1 กิโล) +น้ำเปล่าอีก 10ลิตรคนให้เข้ากัน ปิดฝาทิ้งไว้อีก 7 วัน(ไม่ต้องคนแล้ว) ครบ 7วันกรองเอาแต่น้ำใส่ถังมิดชิดเก็บไว้ใช้ได้นาน
การนำน้ำหมักปลาไปใช้ในการเกษตร
น้ำหมักปลาเป็นปุ๋ยชีวภาพที่สามารถนำมาใช้ได้หลากหลายวิธีในภาคการเกษตร ไม่ว่าจะเป็นการบำรุงดิน เร่งการเจริญเติบโตของพืช หรือเพิ่มผลผลิตทางการเกษตรอย่างเป็นธรรมชาติ โดยมีแนวทางการใช้งานที่แนะนำดังนี้
1. ใช้รดหรือฉีดพ่นพืช
- อัตราส่วนการใช้: ผสมน้ำหมักปลา 20-40 ซีซี (ประมาณ 2-4 ช้อนโต๊ะ) ต่อน้ำ 10 ลิตร
- วิธีใช้:
- ใช้รดที่โคนต้นเพื่อช่วยบำรุงรากและปรับปรุงคุณภาพดิน
- ใช้ฉีดพ่นทางใบเพื่อช่วยให้พืชได้รับธาตุอาหารโดยตรง ทำให้ใบเขียว แข็งแรง และโตเร็ว
- ช่วงเวลาที่เหมาะสม: ควรใช้ในช่วงเช้าหรือเย็น หลีกเลี่ยงช่วงแดดจัดเพื่อลดการระเหย
2. ใช้หมักปุ๋ยและปรับปรุงดิน
- อัตราส่วนการใช้: ผสม น้ำหมักปลา 1 ลิตร ต่อน้ำ 50 ลิตร แล้วนำไปรดลงบนกองปุ๋ยหมัก
- วิธีใช้:
- ใช้เป็นหัวเชื้อช่วยเร่งการย่อยสลายของอินทรียวัตถุในปุ๋ยหมัก
- ช่วยให้จุลินทรีย์ในดินทำงานได้ดีขึ้น ทำให้ดินร่วนซุยและอุดมสมบูรณ์
3. ใช้เลี้ยงสัตว์และเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ
- ในอาหารสัตว์: เติมน้ำหมักปลาจำนวนเล็กน้อยลงในอาหารสัตว์ เช่น ไก่ เป็ด และสุกร เพื่อช่วยเพิ่มโปรตีนและกระตุ้นการเจริญเติบโต
- ในบ่อเลี้ยงปลา: ใช้เติมลงในบ่อเพื่อช่วยปรับสภาพน้ำ กระตุ้นการเจริญเติบโตของแพลงก์ตอน ซึ่งเป็นอาหารตามธรรมชาติของสัตว์น้ำ
4. ใช้เร่งการเจริญเติบโตของผลไม้และพืชผัก
- สำหรับพืชผัก: ใช้น้ำหมักปลารดหรือฉีดพ่นสัปดาห์ละ 1-2 ครั้ง ช่วยให้ผักโตเร็ว ใบเขียว และให้ผลผลิตดี
- สำหรับไม้ผล: ใช้รดบริเวณโคนต้นเดือนละ 1-2 ครั้ง จะช่วยให้ต้นแข็งแรงและติดดอกออกผลได้ดีขึ้น
ข้อควรระวังในการใช้น้ำหมักปลา
- ควรผสมให้เจือจางก่อนใช้เสมอ เพื่อป้องกันไม่ให้พืชได้รับสารอาหารเข้มข้นเกินไป
- หลีกเลี่ยงการใช้ในช่วงแดดจัด เพื่อลดการระเหยและให้พืชได้รับสารอาหารอย่างเต็มที่
- ควรเก็บน้ำหมักปลาไว้ในที่ร่มและมีฝาปิดแน่นหนา เพื่อลดกลิ่นและคงคุณภาพของน้ำหมัก
ด้วยวิธีการใช้งานที่ง่ายและให้ผลลัพธ์ที่ดี น้ำหมักปลาจึงเป็นทางเลือกที่ยอดเยี่ยมสำหรับเกษตรกรที่ต้องการเพิ่มผลผลิตและดูแลสิ่งแวดล้อมไปพร้อมกัน
ประโยชน์และคุณสมบัติของปุ๋ยน้ำหมักชีวภาพปลา
1. ธาตุอาหารพืช ( Plant Elements ) ครบทั้ง 16 ธาตุ เช่น ธาตุอาหารหลัก ไนโตรเจน N, ฟอสฟอรัส P, โพแทสเซียม K, แคลเซียม Ca หรือจะเป็นจุลธาตุ (Micro Elements) เช่น แมงกานีส Mn, เหล็ก Fe, สังกะสี Zn เป็นต้น
2.กรดฮิวมิก ( Humic Acid ) มีความสำคัญในการเร่งอัตราการเจริญ เติบโตของรากและลำต้นพืชได้ดี
3. กรดอินทรีย์ (Organic Acid) ซึ่งจะมี ทั้ง กรดอะซิติก (Acetic Acid) และ กรดแลคติก (Lactic Acid) ซึ่งมีประโยชน์มากมาย เป็นแหล่งอาหารของจุลินทรีย์ ช่วยควบคุมการเจริญเติบโตของจุลินทรีย์ อีกทั้งยับยั้งการเกิดกิจกรรมของจุลินทรีย์ที่เปลี่ยนรูปไนโตรเจนเป็นแอมโมเนีย (NH3) ซึ่งสูญเสีย ไปได้ง่ายจากการระเหย
4. กรดอะมิโน ( Amino Acid ) กรดอะมิโน ให้ธาตุไนโตรเจน ( N ) เร่งการเจริญเติบโตของพืช โดยน้ำหมักปลามีองค์ประกอบหลักคือกรดอะมิโน ซึ่งสามารถจับกับธาตุอาหารพืชและเปลี่ยนรูปเป็นอะมิโนคีแลต ซึ่งพืชสามารถดูดซึมไปใช้ได้ดีกว่าการใช้ปุ๋ยในรูปเกลือธรรมดา ส่งผลให้ช่อดอกของพืชมี ความยาวช่อเพิ่มขึ้น จำนวนดอกและการแตกยอดใหม่ของพืชเพิ่มขึ้น
5. ฮอร์โมนพืช (Plant Hormone)
- ออกซิน (Auxin) มีผลในการเพิ่มการขยายตัวของเซลล์ กระตุ้นการแบ่งเซลล์ เพิ่มการเกิดรากการเจริญของรากและลำต้น เพิ่มการออกดอก เปลี่ยนเพศดอก เพิ่มการติดผลดีขึ้น กระตุ้นการสุกของผล และ เพิ่มกิจกรรมเอนไซม์
- จิบเบอร์เรลลิน (Gibberellin) มีผลในการกระตุ้นการยืดตัวของเซลล์พืชในทางยาว ทำให้ลำต้นยืดตัวมากขึ้น กระตุ้นการแบ่งตัวของเซลล์ ชักนำให้เกิดการงอกของเมล็ดพืช เร่งการออกดอก ยืดช่อ ดอกเปลี่ยนเพศดอก เพิ่มการติดผล พัฒนาการเกิดตาข้าง
- ไซโตไคนิน (Cytokinin) มีผลในการกระตุ้นการแบ่งตัวของเซลล์การเจริญทางด้านลำต้นกระตุ้นการเจริญของตาข้างให้เจริญเป็นกิ่งแขนง เพิ่มอัตราการเกิดกระบวนการสังเคราะห์แสงป้องกันคลอโรฟิลล์ให้ถูกทำลายช้าลง ทำให้ใบพืชเขียวนานและร่วงหล่นช้า
6. เอนไซม์ (Enzyme) ช่วยย่อยสลายวัสดุอินทรีย์ให้มีขนาดโมเลกุลเล็กลง เพื่อให้พืชนำไปใช้ประโยชน์ได้ต่อไป
7. สารเปิดปากใบ ทำให้การให้ปุ๋ยธาตุอาหารพืชทางใบได้ผลรวดเร็วยิ่งขึ้นเพราะพืชสามารถดูดซึมธาตุอาหารทางปากใบได้ทันที
8. จุลินทรีย์กลุ่มย่อยสลาย กลุ่มจุลินทรีย์ที่มีประสิทธิภาพสูงในการย่อยสลายเซลลูโลส หรือเศษพืช (Cellulolytic Microorganism) ประกอบไปด้วยแบคทีเรีย (Bacteria) รา(Fungi) และ แอคติโนมัยซิท (Actinomycetes) ซึ่งจุลินทรีย์กลุ่มนี้จะปล่อยเอนไซม์ (Enzymes) ออกมาย่อยสลายเศษพืชและซากสัตว์
9. การปรับปรุงโครงสร้างดิน กิจกรรมของจุลินทรีย์ช่วยในการปรับปรุงดินให้มีโครงสร้างดี มีลักษณะร่วนซุยและมีการระบายน้ำและอากาศดี ทำให้ดินมีความสามารถดูดซับน้ำและธาตุอาหารพืชสูงขึ้นและช่วยรักษาสภาพความเป็นกรด-ด่างของดิน (ค่า PH) ให้มีการเปลี่ยนแปลงเพียงเล็กน้อย
บทความอื่นที่น่าสนใจ