ชมพู่ทับทิมจันท์ ปลูกอย่างไรให้หวานฉ่ำ ผลดก และต้านโรค
ชมพู่ เป็นผลไม้เขตร้อนซึ่งมีถิ่นกำเนิดในประเทศอินเดีย เป็นพืชจัดอยู่ในตระกูลเดียวกับฝรั่งหว้า ยูคาลิปตัส เป็นพืชที่ชอบน้ำ จัดเป็นผลไม้ที่มีลำต้นขนาดใหญ่ ดอกมีกลิ่นหอมคล้ายกุหลาบ ผลมีรสหวานกรอบ คนไทยนิยมปลูกเป็นไม้มงคลประจำบ้าน ชมพู่เป็นผลไม้ที่อุดมไปด้วยวิตามินเอ ผลนอกจากจะใช้รับประทานสดแล้ว ยังสามารถนำไปแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ต่างๆ ได้ เช่น เยลลี่ แยม และแช่อิ่ม เป็นต้น
ชมพู่ทับทิมจันท์ ถือเป็นหนึ่งในสายพันธุ์ชมพู่ที่ได้รับความนิยมอย่างมากในประเทศไทย ด้วยลักษณะเด่นคือผลใหญ่ เนื้อแน่น สีแดงอมชมพูสวยงาม รสชาติหวานฉ่ำ กลิ่นหอมอ่อน ๆ และมีความกรอบถูกใจผู้บริโภค ยิ่งไปกว่านั้นยังเป็นสายพันธุ์ที่มีความทนทานต่อโรคพืชได้ดีในระดับหนึ่ง ทำให้เกษตรกรหลายรายหันมาให้ความสนใจในการปลูกเพื่อบริโภคเองหรือจำหน่ายในเชิงพาณิชย์
บทความนี้จะพาคุณไปเรียนรู้ เทคนิคการปลูกชมพู่ทับทิมจันท์ ตั้งแต่การเตรียมพื้นที่ไปจนถึงการดูแลให้ได้ผลดก สีสวย รสชาติหวานกรอบ พร้อมวิธีป้องกันโรคและแมลงอย่างปลอดภัย ใครที่กำลังมองหาแนวทางปลูกชมพู่ให้ประสบความสำเร็จ
ลักษณะเด่นของชมพู่ทับทิมจันท์
ชมพู่ทับทิมจันท์มีจุดเด่นคือผลขนาดใหญ่ สีแดงอมชมพู เนื้อแน่น กรอบ หวานจัด และไม่ค่อยมีเมล็ด ทำให้เป็นที่ต้องการของตลาดอย่างมาก โดยเฉพาะตลาดผลไม้พรีเมียม หรือขายตามตลาดออนไลน์ เพราะนอกจากรสชาติที่ดีแล้ว ยังมีรูปลักษณ์ที่ดึงดูดใจผู้บริโภค
นอกจากนี้ยังมีจุดเด่นเรื่องความต้านทานโรค เช่น โรคแคงเกอร์ และโรครากเน่าได้ดีระดับหนึ่ง จึงเป็นสายพันธุ์ที่เหมาะทั้งปลูกในแปลงใหญ่หรือในสวนหลังบ้าน
การขยายพันธุ์
1. การตอนกิ่ง เป็นวิธีที่นิยมใช้ขยายพันธุ์ชมพู่มาช้านานและยังใช้อยู่ในปัจจุบัน โดยการตอนนี้เริ่มจากการคัดเลือกกิ่งกระโดงหรือกิ่งที่แข็ง ช่วงอายุเพสลาดคือ กิ่งอ่อน กิ่งแก่ สีเขียวอมน้ำตาตาลแล้วควั่นรอบกิ่ง 2 รอย ห่างกันเท่ากับเส้นรอบวงของกิ่ง แล้วกรีดและลอกเปลือกระหว่างรอขควั่นออกขูดเชื้อเจริญออกให้หมด หุ้มด้วยขยมะพร้าวชุ่มน้ำในถุงที่ผ่ากลางถุงแล้ว มัดด้วยเชือกเป็น 2 เปลาะ ประมาณ 30-45 วัน ก็จะเริ่มออกราก เมื่อรากแก่เป็นสีน้ำตาลแล้ว จึงตัดกิ่งไปชำต่อไป
2. การปักขำ เป็นวิธีที่นิยมกัน เช่นเดียวกับฝรั่ง โดยตัดกิ่งอ่อนสีเขียวที่มีใบ 3 คู่ แล้วปลิดใบคู่ล่างออก แล้วจุ่มในฮอร์โมนเร่งราก IBA ชนิดเข้มขั้นสำหรับเร่งราก ปีกขำไว้ในถุงขี้เถ้าแกลบ ประมาณ 1 เดือน ก็จะออกราก แล้วย้ายไปชำในภาชนะต่อไป ปัจจุบันมีผู้รับจ้างชำกิ่งละ 4-5 บาท
3. การต่อกิงแบบไซด์วีเนียร์ เป็นวิธีการขยายพันธ์ที่ใช้สำหรับการเปลี่ยนยอดพันธุ์ชมพ์จากพันธ์หนึ่งไปเป็นอีกพันธุ์หนึ่งตามที่ต้องการ วิธีการนี้ต้นพันธุ์ที่จะต้องเปลี่ยนควรลอกเปลือกออกได้ง่าย มีขั้นตอนดังนี้
-
- กรีดเปลือกต้นที่ต้องการจะเปลี่ยนพันธุ์ลงตามขาว 2 แนวขนานกัน แต่ละแนวห่างกันพอที่จะสอดกิ่งขอดพันธ์ดีที่จะนำมาเปลี่ยนได้พอดี โดขลอกเปลือกออกจากบนลงล่างตัดเหลือเป็นบ่า
- นำขอดพันธุ์ดีซึ่งมีดาที่พักตัว(แก่) คัดปืนเนาทาวอียงเป็นรูปปากฉลาม และตัดอีกด้านหนึ่งเล็กน้อย โดยขอดพันธุ์ดีควรมีดาเหลืออยู่อย่างน้อย 2 ตา แล้วสอดยอดตาพันธุ์ดีลงในแผลดิ้นที่ต้องการจะเปลี่ยน
- พันด้วยพลาสติกให้แน่นจากล่างขึ้นบนแบบมุงหลังคา โดยพลาสติกต้องหุ้มรอยแผลและขอดพันธุ์ที่สอดไว้แล้วทั้งหมดประมาณ 15 วัน จึงทำการตรวจสอบการติดของเนื้อเชื่อยอดตาพันธุ์ดีกับรอยแผล ถ้าติดยอดตาพันธุ์ดีจะมีสีเขียว ให้กรีดพลาสติกที่อยู่เหนือและข้างยอดตาพันธุ์ดีแล้วจึวจึวจึงตัดยอดต้นที่ต้องการจะเปลี่ยนทิ้งเพื่อให้ตาพันธุ์ดีพัฒนาเป็นกิ่งหรือลำต้นใหม่ต่อไป
การเตรียมแปลงปลูก
ในการปลูกชมพู่ สามารถปลูกได้แบบยกร่องในที่ราบลุ่มภาคกลาง ภาคตะวันออก และภาคตะวันตก ซึ่งการปลูกแบบยกร่องนี้ ส่วนหลังร่องกว้างประมาณ 3 เมตร ร่องน้ำกว้าง 1-1.50 เมตร มีแนวชายร่องข้างละ 0.50 เซนติเมตร ซึ่งหลังยกร่องแล้วควรตากดินไว้ 1 เดือน แล้วจึงพลิกหน้าดินให้ดินล่างลงไปอยู่ด้านล่าง และดินบนซึ่งถูกทับขณะชุดร่องกลับมาอยู่ด้านบนตามเดิม ช่วงพลิกนี่เองที่ชาวสวนสามารถทำการปรับสภาพดิน โดยใช้ปูนขาวและปัยคอกลงไปในดินได้เลย สำหรับพื้นพื้นที่ดอนควรไถพรวนพร้อมทำการปรับสภาพดิน และใส่ปุ๋ยคอก
กำหนดระยะการปลูก
- แบบยกร่อง ส่วนใหญ่ใช้ระยะห่างระหว่างต้น 4 เมตร
- บนพื้นที่ดอน ใช้ระยะ 4×4 เมตร หรือ 6×6 เมตร แล้วแต่สภาพความสมบูรณ์ของดินด้วย ถ้าดินอุดมสมบูรณ์ ควรปลูกระยะ 6×6 เมตร
การเตรียมหลุมปลูก
โดยทั่วๆ ไปหลุมปลูกจะใช้ขนาด 50x50x50 เซนติเมตร (กว้างxยาวxลึก) โดยแยกดินหน้าไว้ข้างหนึ่งและดินล่างไว้อีกข้างหนึ่ง แล้วเอาปุ๋ยคอกประมาณ 50 กิโลกรัมผสมกับหน้าดินอัตราส่วน 1:1 และปุ๋ยร็อคฟอสเฟต 500 กรัม กลบลงไปในหลุมจนพูน
การปลูก
ต้นพันธุ์ชมพู่ที่คัดเลือกไว้แล้ว นำมามาถอดภาชนะเพาะชำออก แล้วตรวจดูว่ามีรากขดหรือไม่ขยายรากออก หันทิศทางของกิ่งให้เหมาะสม แล้วฝังลงในหลุมที่เตรียมไว้ โดยให้ระดับสูงกว่าระดับดินเดิมเล็กน้อย หลังจากบ่มนำดินล่างมาเติมบนปากหลุมจนพูนแล้วอัดดินให้แน่น ปักไม้และผูกเชือกลำต้น พร้อมปักทางมะพร้าวพรางแสงในทิศทางตะวันตก และตะวันออก เสร็จแล้วรดน้ำให้ชุ่มทันที เพื่อป้องกันไม่ให้ต้นชมพู่ที่ปลูกใหม่เหี่ยวเฉา หลังจากต้นชมพู่ตั้งตัวได้แล้ว จึงค่อยนำทางมะพร้าออก
เทคนิคช่วยให้ชมพู่มีคุณภาพดี
- ตัดแต่งช่อผลตั้งแต่เริ่มติดผล โดยไว้ผลประมาณ 3-4 ผล ต่อช่อ และจํานวนช่อดอกไม่ควรมากเกินไป โดยให้สัมพันธ์กับทรงทุ่มและความสมบูรณ์ของต้น
- การใช้จีเอพ่นประมาณ 1-3 ช่วง คือช่วงเริ่มออกดอก ดอกเริ่มบานและหนหลังดอกบานแล้ว 2 สัปดาห์ เพื่อทำให้ทรงผลขาวและขยายขนาดขึ้น
- การให้ปุ๋ยทั้งทางดินและทางในอย่างเพียงพอ มิฉะนั้นอาจทำให้ผลร่างให้ง่าย
- การห่อผลทำให้ผิวสวยป้องกันการทำลายของแมลงอื่น ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งคือแมลงวันทอง
- ควรงดการให้น้ำช่วงก่อนการเก็บเกี่ยว 3-5 วัน ทั้วนี้ขึ้นอยู่กับสภาพดิน ถ้าดินเหนียวควรงดการให้น้ำนานกว่านี้อาจเป็น 5-7 วัน
ผลผลิต
สามารถให้ผลผลิตหลังจากปลูกไปแล้ว 15-18 เดือน
ตลาด และผลตอบแทน
ตลาดชมพู่ส่วนใหญ่ เป็นตลาดภายในประเทศ ได้แก่ ตลาดประจำจังหวัดต่างๆ ตลาดกรุงเทพฯได้แก่ ตลาดสี่มุมเมือง ปากคลองตลาด ตลาดไท เป็นต้น ราคาชมพูในช่วงฤดูกาล ประมาณกิโลกรัมละ 20-25 บาท ส่วนนอกฤดูกาลราคากิโลกรัมละ 50-80 บาท
บทความอื่นที่น่าสนใจ