รีวิวหนังสือ สมองแห่งความสำเร็จของนักจัดระเบียบความคิด

รีวิวหนังสือ สมองแห่งความสำเร็จของนักจัดระเบียบความคิด

สมองแห่งความสำเร็จของนักจัดระเบียบความคิด

หนังสือ “สมองแห่งความสำเร็จของนักจัดระเบียบความคิด” เล่มนี้ ได้รวบรวมเคล็ดลับ 40 ข้อ ที่ “พกจูฮวัน” นักให้คำปรึกษาด้านการจัดการความคิดอันดับ 1 ของเกาหลีใต้อยากแนะนำให้คุณรู้จัก หนังสือเล่มนี้จะพาคุณไปรู้จักกับเครื่องมือต่าง ๆ ที่ช่วยถ่ายทอดความคิดที่มีอยู่ในหัวออกมาให้มองเห็นได้ด้วยตา ทำให้เราได้ตรวจสอบความคิดของตัวเองและนำไปสู่การปฏิบัติจริงได้ง่ายขึ้น เช่น WLB, Mind Map, Mandala-Art, Logic Tree ฯลฯ โดยกล่าวถึงที่มาและความสำคัญ ประโยชน์ ข้อดีข้อเสีย และวิธีการใช้เครื่องมือ ตลอดจนแนะนำเครื่องมือที่เหมาะสมกับเรื่องต่าง ๆ ได้แก่ การจัดการความคิด การจัดการเวลา การจัดการเป้าหมาย และการจัดการปัญหา พร้อมปลุกพลังสมองและจัดระเบียบความคิดไปกับหนังสือเล่มนี้ แล้วชีวิตของคุณจะเปลี่ยนไปในทิศทางที่ดี!

10 เทคนิคจัดระเบียบความคิด เพื่อเพิ่มโอกาสสำเร็จให้ชีวิต จากหนังสือ สมองแห่งความสำเร็จของนักจัดระเบียบความคิด

1. การจัดระเบียบทางความคิด เป็นเคล็ดลับเพื่อนำไปสู่ความสำเร็จ

มีตัวอย่างซีอีโอมากมายที่ทำงานได้อย่างฉับไวและมีประสิทธิภาพ เพียงเพราะจัดระเบียบความคิดในหัวเป็นเมื่อซีอีโอเหล่านี้ฝึกจัดระเบียบความคิดในหัวอย่างเป็นประจำแล้ว การตัดสินใจของเขาก็ทำได้รวดเร็ว เมื่อมีไอเดียใหม่ จึงคิดออกทันทีว่าต้องโทรหาใคร

นอกจากนี้แล้ว การจัดระเบียบความคิดยังเป็นขั้นแรกในการนำไปสู่การลงมือทำที่มีประสิทธิภาพมากขึ้นและถ้าลงมือทำอย่างต่อเนื่องแล้ว ความสำเร็จก็อยู่ไม่ไกลเกินเอื้อมแน่นอน

2. หลักการจัดระเบียบความคิด สามารถใช้หลัก “แจก-จำ-จัด” ได้เหมือนการจัดบ้าน

โดยเริ่มจาก การ “แจกแจง” สิ่งที่ต้องทำทั้งหมดออกมาก่อนจากนั้นก็เริ่ม “จำแนก” ประเภทสิ่งที่ต้องทำ เช่นเรื่องงาน เรื่องเรียน เรื่องในบ้าน เรื่องครอบครัวสุดท้ายจึงเริ่ม “จัดลำดับความสำคัญ” ให้กับสิ่งที่จำแนกไว้ ถ้าเรื่องไหนสำคัญและเร่งด่วนก็ทำก่อน แต่ความจริงแล้วถ้าเราจัดระเบียบชีวิตดี ๆ เราจะไม่เจอสำคัญที่เร่งด่วนเลย

3. เทคนิคการจัดระเบียบความคิด 3 ประเภทที่ควรใช้ควบคู่กันไป

  • เขียนบรรยาย – เพื่อให้เก็บรายละเอียดของข้อมูลให้ได้มากที่สุด
  • เขียนสรุปย่อ – เพื่อให้เข้าใจประเด็นสำคัญ และมองเห็นภาพรวม
  • เขียนเป็นภาพ – เพื่อให้เข้าใจเนื้อหาได้ชัดเจนมากขึ้น

นักจัดระเบียบความคิดที่ดี จะทำทั้งสามอย่างควบคู่กันไป เพราะแต่ละวิธีมีข้อดีข้อเสียที่แตกต่างกัน

4. กลยุทธ์การเขียน mind map ด้วยการเชื่อมโยง 4 แบบ

แบบที่ 1: เชื่อมโยงแบบหลวม หรือแบบอ้อม

เช่น “หมาสีน้ำตาล น้ำตาลคือถุงกระดาษ ถุงกระดาษไว้ดื่มกาแฟ กาแฟทำให้สดชื่นตอนเช้า เช้าง่วงนอน….” ทำแบบนี้ต่อไปเรื่อยๆ วิธีการเชื่อมโยงแบบหลวม ๆ แม้จะดูหาความสัมพันธ์ของสิ่งต่าง ๆ ยาก แต่บางครั้งก็อาจทำให้เราคิดเดียใหม่ ๆ ออก ด้วยการนำสิ่งไกล ๆ มารวมเข้าด้วยกัน

แบบที่ 2: เชื่อมโยงแบบแข็งแกร่ง

เป็นการคิดเชื่อมโยงสิ่งที่เกี่ยวข้องกัน หมวดหมู่เดียวกัน โดยอาจเริ่มจากส่วนหลักที่กว้างก่อน แล้วค่อย ๆ ไล่ไปที่ส่วนย่อยเช่น เริ่มที่อาหาร และต่อด้วย ราเมง ข้าวเหนียวไก่ย่าง ข้าวเหนียวหมูปิ้ง สำตำ น้ำตก พิซซ่า สปาเกตตี้ เป็นต้น

แบบที่ 3: เชื่อมโยงแบบคล้ายคลึง

เป็นการหาของสองสิ่งมาเชื่อมกันด้วยวิธีการอุปมา และอุปลักษณ์อุปมา คือใช้คำแต่งเติมข้อความด้วย การบอกว่าสิ่งนั้น “เหมือน ราวกับ ดั่ง ประดุจ” เช่น สวยเหมือนนางฟ้า อร่อยเหมือนอดอาหารมาหลายวัน โกรธเหมือนโดนใครต่อยหน้ามา ส่วนอุปลักษณ์ เป็นการเปรียบเทียบของสิ่งหนึ่ง กับอีกสิ่งหนึ่ง ซึ่งเน้นคุณสมบัติที่เหมือนกันภายในไม่ใช่ภายนอก เช่น สมาร์ทโฟนเหมือนอวัยวะชิ้นที่ 33 อยู่กับแฟนตัวติดกันเหมือนปาท่องโก๋ เป็นคู่ดูโอ้กันมานานเหมือนวงลิปตา

แบบที่ 4: เชื่อมโยงแบบตรงกันข้าม

คือคิดในสิ่งที่ตรงกันข้ามโดยสิ้นเชิง เช่น มีบนก็มีล่าง มีวิกฤตก็มีโอกาส มีเกิดขึ้นก็มีดับไป

5. บริหารเวลาแบบไครอส (Kairos) แทนแบบโครนอส (Chronos)

โครนอส (Chronos) เป็นการใช้เวลาเชิงปริมาณ เหมือนเวลาที่เราวัดว่าผ่านไปแล้วกี่นาที กี่ชั่วโมงเช่น วันนี้ทำงาน 8 ชั่วโมง นอน 7 ชั่วโมง เป็นต้น

ไครอส (Kairos) เป็นการใช้เวลาเชิงคุณภาพ จะเกิดขึ้นเมื่อเรามีสมาธิจดจ่ออยู่กับสิ่งตรงหน้าแล้วตั้งใจทำมันอย่างเต็มที่ เราจะดื่มด่ำกับสิ่งนั้นนานจนลืมเวลาบนหน้าปัด

ช่วงเวลาแบบนี้อาจเกิดขึ้นในตอนที่เราอยู่กับคนรัก ได้อ่านหนังสือเล่มโปรด หรือเล่นกีฬาแล้วเพลินเราอาจไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปเท่าไหร่แล้ว แต่ความรู้สึกที่ได้จะอิ่มเอมมาก

ถ้าเราใช้เวลาแบบไครอสในแต่ละวัน เราจะพบว่าชีวิตเรามีประสิทธิภาพมากขึ้นแต่ละวันผ่านไปอย่างมีคุณภาพ ไม่ใช่แค่ผ่านไปตามหน่วยวัดเวลาเฉย ๆ

6. 5 จุดเช็คพ็อยต์ในการเขียน To Do List ที่ดี

  • จำแนกหมวดหมู่สิ่งที่ต้องทำ
  • จัดลำดับความสำคัญ
  • กำหนดเดดไลน์ให้ชัดเจน
  • ระบุผู้รับผิดชอบให้ชัดเจน
  • นำ To Do List ไปติดไว้ หรือวางไว้ในจุดที่ทุกคนมองเห็นได้ง่าย

7. แบ่งเวลาในที่ทำงานด้วยหลักการ 70:15:10:5

  • ทำงานหลัก 70% ด้วยใจจดจ่อ – เพื่อเพิ่มผลิตภาพ (productivity) และคุณภาพของผลงาน
  • ลงทุนไปกับงานเพื่อนอนาคต 15% – เพื่อเตรียมตัวเองให้พร้อมสำหรับงานในอนาคต หมั่นพัฒนาความสามารถของตัวเองอยู่เสมอ
  • งานครั้งเดียว 10% ต้องควบคุม – เช่นงานประชุม ต้องทำให้มีประสิทธิภาพ ต้องไม่เสียเวลาในการประชุมไปเปล่า ๆ
  • งานเสริม 5% ที่ต้องลดทอน – เพราะเป็นงานที่ไม่ได้ช่วยสร้างคุณค่าใด ๆ แต่ต้องทำเพื่อส่งเสริมให้ทำงานหลักได้ งานประเภทนี้ต้องพยายามทำให้เป็นอัตโนมัติ หรือทำอย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุด

8. จัดระเบียบเป้าหมายด้วยการคิดแบบย้อนกลับ (Backcasting)

การพยากรณ์ย้อนกลับ (Backcasting) ตรงกันข้ามกับการพยากรณ์ไปข้างหน้าแบบปกติ (forecasting) ทั้งสองวิธีมีข้อดีข้อเสียที่ต่างกันโดยการพยากรณ์ไปข้างหน้า (forecasting) จะเน้นการใช้ข้อมูลในอดีต มาวิเคราะห์และทำนายผลลัพธ์ในอนาคต ซึ่งอาจทำให้เรายึดติดกับสิ่งที่เกิดขึ้นในอดีตและอาจไม่ได้เกิดไอเดียใหม่ ๆ

ในขณะที่การพยากรณ์ย้อนกลับ (Backcasting) จะเริ่มจากการตั้งเป้าหมายในอนาคตไกล ๆ ก่อน อาจเป็นหลัก 10 ปี แล้วค่อย ๆ มองกลับมาเป็นเป้าหมายระกลาง 3-5 ปี และคิดกลับมาเป็นเป้าหมายภายในปีนี้

การคิดแบบย้อนกลับมีข้อดีตรงที่เราไม่จำเป็นต้องยึดติดกับข้อมูลในอดีต และสามารถออกนอกกรอบความคิดแบบเดิม ๆ ได้ อาจเหมาะกับคนที่กำลังต้องการวิธีการใหม่ ๆ ในการแก้ปัญหา แต่ก็มีข้อเสียคือการที่อาจไม่ได้อยู่บนพื้นฐานของความเป็นจริง

9. หมั่นคิดทบทวนปัญหา 3 แบบอยู่เสมอ

แบบที่ 1: ปัญหาที่เกิดขึ้นแล้ว

เป็นปัญหาที่มองเห็นได้ชัด เพราะความยุ่งยากได้เกิดขึ้นแล้ว เช่น สอบตก ยอดขายลดลงอย่างต่อเนื่อง ลูกน้องลาออก ปัญหาประเภทนี้ต้องได้รับการแก้ไขอย่างทันท่วงที และวิเคราะห์หาสาเหตุเพื่อป้องกันการเกิดปัญหาในครั้งถัดไป

แบบที่ 2: ปัญหาที่เกิดจากการสำรวจ

เป็นปัญหาที่ยังไม่เกิดขึ้น แต่มีแนวโน้มว่าจะเกิดถ้าเรายังไม่ตัดสินใจทำอะไรปัญหาประเภทนี้มักซ่อนอยู่ มองเห็นได้ไม่ชัด แต่ถ้าเราสำรวจดี ๆ ก็จะระบุมันออกมาได้ เช่น กระดูกสันหลังที่เริ่มคดงอจากการนั่งทำงานติดต่อกันนานเกินไป ยอดขายที่เริ่มลดลงเพราะลูกค้าเปลี่ยนแพลตฟอร์มการช็อปปิ้งของออนไลน์ รถยนต์ที่ใช้ที่อาจนั่งไม่พอถ้ามีลูกเพิ่ม

แบบที่ 3: ปัญหาที่กำหนดขึ้น

ปัญหาประเภทนี้เกิดจากการกำหนดเป้าหมายของตัวเองขึ้นมา แต่เป้าหมายเหล่านั้นจะกลายเป็นปัญหาถ้าเราไม่วางแผนที่จะทำให้ตัวเองบรรลุเป้าได้ เช่น การตั้งเป้าอยากมีคนตาม Youtube 1 ล้านคน อยากเก็บเงินให้ได้ 10 ล้านบาท อยากเพิ่มยอดขายให้บริษัท 20%

เราไม่ควรโฟกัสไปที่ปัญหาแบบที่ 1 เพียงอย่างเดียว แต่ควรหมั่นสำรวจปัญหาแบบที่ 2 ที่มองเห็นได้ยาก และหมั่นให้ความสำคัญกับปัญหาแบบที่ 3 ที่เกิดจากเป้าหมายของเราเองด้วย

10. ออกจากหลุมพรางการคิดแก้ปัญหาแบบ How

เมื่อเจอปัญหา หลายคนมักเอาแต่คิดว่า “จะแก้ปัญหาอย่างไร”ซึ่งหลายครั้งทำให้เราวิเคราะห์ปัญหาผิดพลาด และมองไม่เห็นแก่นแท้ของมัน เช่น การที่เงินไม่พอใช้ ก็คิดจะแก้ด้วยวิธีประหยัดเพียงอย่างเดียว แบบนี้อาจไม่ใช่วิธีแก้ปัญหาที่ดี เพราะการที่เงินไม่พอ เราอาจใช้วิธีหาเงินเพิ่มได้ ด้วยการสร้างรายได้ทางอื่น หรือพัฒนาความสามารถของตัวเองให้เหมาะสมกับเงินเดือนที่มากขึ้น

ดังนั้นเมื่อเจอปัญหา ลองถอบมา 1 ก้าวแล้ววิเคราะห์ดี ๆ ก่อน อย่าเพิ่งรีบคิดแต่ว่าจะแก้ปัญหาอย่างไรตั้งแต่แรก

รีวิวสั้น ๆ หลังอ่าน

เป็นหนังสือรวมเทคนิคจัดระเบียบความคิด ส่งตรงจากเกาหลี โดยนักเขียนเลื่องชื่อด้านจัดระเบียบความคิด พกจูฮวันต้องบอกว่าหนังสือพกเครื่องมือและเทคนิคในการจัดระเบียบความคิดมาแบบจัดเต็มมาก หลายเครื่องมือหนังสือบรรยายได้ละเอียด จนยากที่จะสรุปมาลงโพสต์ได้

ถ้าใครอยากรู้จักเครื่องมือช่วยให้เราเรียบเรียงความคิดตัวเองได้ดีขึ้น คิดอย่างเป็นระบบ และลงมือทำอย่างมีแบบแผนมากขึ้น ยังไงก็ลองหยิบเล่มนี้มาอ่าน แล้วเลือกเครื่องมือที่ตัวเองสนใจไปใช้ดูครับ


ผู้เขียน: พกจูฮวัน
ผู้แปล: สุมาลี สูนจันทร์
จำนวนหน้า: 272 หน้า
สำนักพิมพ์ : อมรินทร์ How To
เดือนปีที่พิมพ์: 8/2022
ชื่อเรื่องต้นฉบับ: I Will Organize Your Thoughts


บทความอื่นที่น่าสนใจ

5 ข้อคิดจากหนังสือ วิธีชนะมิตรและจูงใจคน

วิธีชนะมิตรและจูงใจคน

หนังสือ วิธีชนะมิตรและจูงใจคน (How to Win Friends and Influence People) โดย เดล คาร์เนกี (Dale Carnegie) เป็นหนังสือพัฒนาตนเองที่ได้รับความนิยมอย่างสูงมาอย่างยาวนาน ถึงแม้จะตีพิมพ์ครั้งแรกเมื่อปี 1936 แต่หลักการและแนวคิดต่างๆ ภายในเล่มยังคงมีความทันสมัยและเป็นประโยชน์ต่อการใช้ชีวิตและการทำงานในปัจจุบัน

1. สรุป 3 เทคนิคสำคัญในการปฏิบัติต่อคนอื่น

1) หมั่นเห็นใจผู้อื่น และลดคำติเตียนลง

เพราะเราต้องเข้าใจเสอมว่ากำลังคุยอยู่กับมนุษย์ที่ถูกขับเคลื่อนด้วยอารมณ์ไม่ใช่เหตุผล และการติเตียนคือการจุดประกายไฟแห่งความหยิ่งทะนง และมีแต่จะนำมาไปสู่ความฉิบหาย

2) จงอย่าเยินยอผู้อื่น แต่ให้ยกยอผู้อื่นจากใจจริง

เยินยอ คือ การทำโดยไม่บริสุทธิ์ใจ เป็นการพูดเพื่อให้ตัวเองได้ประโยชน์ คำพูดที่มีออกมาจากไรฝัน แต่การยกยอ คือ การทำโดยบริสุทธิ์ใจ ชมผู้อื่นจากใจจริง เป็นคำพูดที่ออกมาจากหัวใจและปราศจากการเห็นแก่ตัว

3) พูดในสิ่งที่อีกฝ่ายต้องการ ไม่ใช่ที่ตัวเองต้องการ

เริ่มจากลองคิดว่าอีกฝ่ายต้องการอะไร และเราจะทำยังไงถึงจะรวมความต้องการของเรากับความต้องการของอีกฝ่ายได้แล้วจงปลุกความต้องการของอีกฝ่ายขึ้นมาอย่างแรงกล้าด้วยคำพูดเราคนที่ทำแบบนี้ได้โลกจะอยู่ข้างเขา

2. สรุปวิธีปฏิบัติ 6 ประการเพื่อทำให้ผู้อื่นชื่นชอบเรา

กฏข้อที่ 1: จงเอาใจใส่อย่างแท้จริงต่อผู้อื่น

เราต้องเปลี่ยนสัญชาตญาณที่พยายามสร้างความสัมพันธ์ที่ทำเพื่อให้ผู้อื่นมาใส่ใจในตัวเรา เป็นการที่เราเอาใจใส่ในผู้อื่น เพราะทุกคนสนใจแต่เรื่องตัวเอง เหมือนที่เวลาดูรูปหมู่ เรามักจะมองหารูปตัวเองก่อนอยู่เสมอ ดังนั้นถ้าอยากผูกมิตร และให้อีกฝ่ายใส่ใจในตัวเราบ้าง เราต้องเป็นคนเริ่มก่อน เริ่มจากการทำสิ่งต่าง ๆ ให้ผู้อื่นก่อน

กฎข้อที่ 2: ยิ้มอยู่เสมอ

เวลาเจอหน้าทักทายใคร จงยิ้มอย่างร่าเริงให้ทุกคน ทำการยิ้มให้เป็นเรื่องปรกติแล้วเราจะได้รับยิ้มตอบกลับมาจากคนอื่น นอกจากนี้เวลาพูดคุยกับใคร ถ้าใครมาเล่าปัญหาหรือเรื่องราวใดให้เราฟัง จงเริ่มจากการยิ้ม แล้วเราจะพบว่าปัญหาต่าง ๆ ถูกคลี่คลายได้ง่ายกว่าเดิมมาก

กฎข้อที่ 3: จดจำชื่อผู้อื่น ทุก ๆ คนที่ได้พบเจอ

ชื่อเป็นสำเนียงที่หวานที่สุดของมนุษย์ และการจดจำชื่ออีกฝ่ายได้ แม้จะเพิ่งพบเจอกันเพียงครั้งเดียว จะทำให้อีกฝ่ายรู้สึกว่าตัวเองเป็นคนสำคัญและเกิดเป็นความรู้สึกเชิงบวกกับผู้พูด

กฎข้อที่ 4: จงเป็นนักฟังที่ดี และจงสนับสนุนให้อีกฝ่ายได้คุยถึงเรื่องของเขา

เพราะอีกฝ่ายหนึ่งจะสนใจในเรื่องของเขามากกว่าเรื่องของเราหรือเรื่องอื่น ๆ อีก 100 เท่า  ดังนั้นเมื่อเริ่มบทสนทนาในครั้งต่อไป จงตั้งคำถามที่อีกฝ่ายจะตอบด้วยความยินดี และจงสนับสนุนให้อีกฝ่ายได้พูดเรื่องราวและความสำเร็จของเขาอย่างเต็มที่

กฎข้อที่ 5: สนทนาในเรื่องที่อีกฝ่ายสนใจ

ถ้าอยากให้คนอื่นชอบเรา ต้องเริ่มบทสนทนาด้วยสิ่งที่อีกฝ่ายสนใจไม่ใช่สิ่งที่เราสนใจหรือต้องการจะพูดเช่น ถ้าจะไปขายของเขา เราก็ต้องเริ่มบทสนทนาด้วยเรื่องของเขา และถ้าเขาชอบเรา เขาจะถามถึงเรื่องของที่เราจะนำไปขายเขาเอง

กฎข้อที่ 6: จงทำให้ผู้อื่นรู้สึกเป็นคนสำคัญ และจงทำด้วยใจบริสุทธิ์

ทุก ๆ คนล้วนอยากเป็นคนสำคัญ ทุก ๆ คนล้วนอยากให้ผู้อื่นมองเห็นคุณค่าของตัวเองดังนั้นแล้วเราจึงควรปฏิบัติต่อผู้อื่นในแบบเดียวกับที่เราอยากให้ผู้อื่นปฏิบัติต่อ เราจงให้ในสิ่งที่เราอยากให้ผู้อื่นมอบให้กับเราและจงทำออกไปด้วยใจจริง อย่าเสแสร้ง

3. วิธีปฏิบัติ 12 ประการให้ผู้อื่นคล้อยตามแนวคิดของเรา

กฎข้อที่ 1: วิธีที่ดีที่สุดในการระงับการโต้แย้งได้ คือการหลีกเลี่ยงเพราะเราไม่มีทางเอาชนะการโต้แย้งได้ 9 ใน 10 ของการโต้แย้งลงเอยด้วยการที่ต่างฝ่ายต่างเชื่อมั่นในตัวเองเพิ่มขึ้นไปอีกว่าตัวเองเป็นฝ่ายถูก

ดังนั้นการโต้แย้งจึงมีแต่แพ้กับแพ้ แม้เราจะเป็นฝ่ายชนะการโต้แย้ง แต่อีกฝ่ายที่ถูกทำให้ดูว่าเป็นคนไม่มีเหตุผลและสติปัญญา จะรู้สึกต่ำต้อยน้อยใจต่อชัยชนะของเรา และถูกทำลายความภาคภูมิใจลง

กฎข้อที่ 2: จงเคารพความคิดเห็นของอีกฝ่ายหนึ่ง อย่าบอกว่าเขาผิดเป็นอันขาด อย่าโต้แย้ง อย่าตำหนิ อย่าทำให้อีกฝ่ายรู้สึกว่าเขาเป็นฝ่ายผิดแต่จงใช้ชั้นเชิงในการสนทนา ให้อีกฝ่ายรู้สึกผิดด้วยตัวเอง เพราะปกติแล้ว เมื่อคนเราทำผิด เราจะยอมรับผิดด้วยตัวเอง และถ้าคนอื่นปฏิบัติต่อเราด้วยความละมุนละไมและถูกกาละเทศะ เรามักจะยอมรับผิดต่อคนผู้นั้นอย่างตรงไปตรงมา

กฎข้อที่ 3: ถ้าเราทำผิด จงยอมรับผิดโดยเร็ว และหนักแน่น เมื่อรู้ตัวว่าผิด เราสามารถพูดถึงความผิดของตัวเองก่อนที่ผู้อื่นจะพูดถึงมันได้อย่าไปโต้เถียงกับผู้อื่นเมื่อเขากำลังต่อว่าความผิดของเรา แต่เราสามารถเข้าข้างเขา แล้วร่วมต่อว่าต่อความผิดนั้นได้ถ้ารู้ว่าอีกฝ่ายกำลังจะพูดอย่างไร เราชิงติเตียนตัวเองไปก่อน อาจจะช่วยลดโทสะของอีกฝ่ายได้

กฎข้อที่ 4: จงเริ่มต้นด้วยมิตรไมตรีเสมอ แม้จะเป็นการพูดกับศัตรู หรือคนที่กำลังเข้ามาหาเรื่องเราแต่การพูดที่ให้เกียรติอีกฝ่าย พูดให้รู้สึกว่าเราเข้าใจอีกฝ่ายและอยู่ข้างเดียวกันจะช่วยบรรเทาความรุนแรงลง และทำให้การสนทนาราบรื่นกว่าเดิมเสมอ

กฎข้อที่ 5: จงเริ่มต้นบทสนทนาให้อีกฝ่ายตอบว่า “ใช่/ ครับ/ คะ/ ถูกต้อง” อย่าเริ่มต้นบทสนทนาด้วยการให้อีกฝ่ายพูดว่าไม่เห็นด้วยถ้าเป็นศัตรูหรือคนที่มีความเห็นต่างกัน จงพูดในสิ่งที่ทั้งสองฝ่ายเห็นร่วมกันก่อนแล้วเน้นย้ำถึงจุดหมายร่วมที่หนักแน่น ส่วนจุดขัดแย้งซึ่งมักเป็นจุดที่ด้อยกว่านั้นจงหลีกเลี่ยงอย่าได้พูดในตอนเริ่ม

กฎข้อที่ 6: จงปล่อยให้อีกฝ่ายได้พูดเป็นส่วนมาก เรื่องความสำเร็จของเราเก็บไว้บ้างก็ได้ ไม่ต้องเอาไปโอ้อวดอยู่ตลอดจงถ่อมตนเข้าไว้ในเรื่องความสำเร็จของเรา เพราะถ้าเราเอาแต่โอ้อวด อีกฝ่ายจะรู้สึกต่ำต้อยกว่าเรา ดังนั้นจะสนับสนุนให้อีกฝ่ายพูดและเล่าความสำเร็จของเขาเป็นส่วนใหญ่ ถ้าอยากเอาชนะใจเขา

กฎข้อที่ 7: จงทำให้อีกฝ่ายหนึ่งเกิดความรู้สึกว่าความคิดเป็นของเขาอย่าหยิ่งผยองไปกับความรู้สึกภูมิใจว่าตัวเองได้ค้นพบความคิดอันยิ่งใหญ่แล้วแต่ถ้าเป็นเพื่อผลประโยชน์ที่ปลายทางแล้ว จงพยายามทำให้อีกฝ่ายรู้สึกว่าตัวเขาเป็นเจ้าของความคิดนั้น แล้วเขาจะรู้สึกดีกับทั้งตัวเขาเอง และกับตัวเราแม้ว่าเราจะอยากอยู่เหนืออีกฝ่ายแค่ไหน เราจะต้องถ่อมตน และทำให้อีกฝ่ายรู้สึกว่าเราอยู่ต่ำกว่าผู้อื่นเสมอ

กฎข้อที่ 8: จงพยายามอย่างสุจริตที่จะมองสิ่งต่าง ๆ ตามแง่คิดของอีกฝ่ายหนึ่งพยายามมองหามุมความคิดของอีกฝ่าย ถ้าอยากจะให้เขาคล้อยตามเราหาเหตุผลว่าทำไมเขาถึงควรทำสิ่ง ๆ นั้นจงอย่าไปพูดแต่มุมมองความคิดของเรา เพราะอาจนำมาซึ่งความขัดแย้งและการทะเลาะเบาะแว้ง

กฎข้อที่ 9: จงเห็นอกเห็นใจต่อความรู้สึกนึกคิดและความปราถนาของอีกฝ่าย จงลองใส่รองเท้าของผู้อื่น พยายามให้ตัวเองเกิดความรู้สึกเดียวกับอีกฝ่ายเห็นใจเขา สงสารเขา และเข้าใจเขาเพราะแท้จริงแล้วนั่นคือสิ่งพื้นฐานที่มนุษย์ทุกคนต้องการ

กฎข้อที่ 10: จงขอร้องด้วยการพูดให้อีกฝ่ายรู้วึกว่าเป็นเจตนาอันดีงามพูดอย่างให้เกียรติอีกฝ่าย ให้อีกฝ่ายรู้สึกว่า เรานับถือเขาในฐานะที่เขาเป็นคนสุจริต ซื่อตรงและยุติธรรมและเราอาจเปลี่ยนใจอีกฝ่ายได้เพราะแท้จริงแล้วมนุษย์ทุกคนล้วนชอบการถูกขอร้องอย่างบริสุทธิ์ใจ

กฎข้อที่ 11: จงแสดงความคิดของเราให้เป็นที่เร้าใจ เพิ่มความตื่นเต้นให้เรื่องที่เราเล่า ทำให้อีกฝ่ายรู้สึกสนุกและอยากรู้อยากเห็นว่าเรื่องราวที่เราเล่ามันจะเป็นยังไงต่อ ผลลัพธ์ของเรื่องเล่าที่น่าเบื่อกับเรื่องที่เร้าใจแตกต่างกันอย่างมหาศาล

กฎข้อที่ 12: จงพูดท้าทาย เมื่อไม่รู้จะทำยังไงให้เกิดผลลัพธ์ตามที่ต้องการการท้าทายจะทำให้มนุษย์เกิดความมานะ อยากลบคำปรามาสของอีกฝ่าย

4. วิธีปฏิบัติ 9 ประการเพื่อเปลี่ยนแปลงผู้อื่น เพื่อไม่ให้เกิดความรู้สึกบาดหมาง หรือขุ่นเคือง

กฎข้อที่ 1: ถ้าจะพูดตำหนิหรือตักเตือนอีกฝ่าย ให้เริ่มต้นบทสนทนาจากคำยกย่องสรรเสริญที่บริสุทธิ์ใจเพราะไม่ว่าจะเป็นใครก็ตาม เมื่อได้รับคำชมเชยก่อนที่จะฟังคำที่ไม่รื่นหู ก็จะยินดีฟังคำตำหนิติเตียนนั้นโดยไม่รู้สึกขุ่นเคืองใด ๆ

กฎข้อที่ 2: จงอย่าเตือนอย่างตรงไปตรงมาว่าเขาผิด พูดชมเชย พูดให้อีกฝ่ายรู้สึกเป็นคนสำคัญ แต่แอบแนบคำติเตียนไว้ภายใน ให้อีกฝ่ายเข้าใจได้โดยไม่ขุ่นเคือง

กฎข้อที่ 3: จงพูดถึงความผิดของเรา ก่อนที่จะไปตำหนิติเตียนคนอื่นเป็นการเน้นยำว่าทุกคนก็มีข้อเสียด้วยกันทั้งนั้น และเปิดใจให้อีกฝ่ายรับฟังมากขึ้น

กฎข้อที่ 4: จงหลีกเลี่ยงการสั่งตรง ๆ แต่พูดขอความเห็นอีกฝ่ายแทนเพราะไม่มีใครชอบรับคำสั่ง แต่ถ้าขอความเห็นให้อีกฝ่ายได้พิจารณาถึงความผิดของตัวเองเขาคนนั้นจะยอมรับและปฏิบัติตามโดยดีได้ง่ายกว่า

กฎข้อที่ 5: จงกู้หน้าอีกฝ่ายหนึ่ง เมื่ออีกฝ่ายอาจรู้สึกว่าตัวเองกำลังเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ เช่น ถูกไล่ออกจากงานก็จงอย่าสร้างความรู้สึกบาดหมางกันไปมากกว่าเดิม แต่ให้หาเหตุผลที่ทำให้เข้าใจสถานการณ์ โดยหลีกเลี่ยงความรู้สึกแพ้-ชนะ

กฎข้อที่ 6: จงยกย่องสรรเสริญผู้อื่น แม้เขาได้ทำสิ่งใด ๆ ก็ตามดีขึ้นเพียงเล็กน้อยและยิ่งยกย่องสรรเสริญอย่างเต็มที่ เมื่อเขาผู้นั้นทำสิ่งนั้นดีขึ้นอย่างก้าวกระโดด วิธีจะสร้างแรงผลักดันและกระตุ้นให้อีกฝ่ายยิ่งอยากทำสิ่งนั้นดียิ่งขึ้นไปอีก

กฎข้อที่ 7: จงตั้งชื่อหมาให้เพราะ จงอุปโลกน์ผู้อื่นในสิ่งที่ดีงาม เพื่อให้เขาเป็นไปตามนั้นเพราะถ้าเราคิดว่าคน ๆ นั้นต้องเป็นคนไม่ดี แล้วไปเรียกเขาด้วยสิ่งแย่ ๆ สุดท้ายเขาก็จะทำเรื่องเลวร้ายเหล่านั้นให้เป็นจริง เราจึงควรฝึงมองในสิ่งดีงามของคนอื่น เผื่อวันหนึ่งสิ่งนั้นจะกลายเป็นเรื่องจริง

กฎข้อที่ 8: จงทำให้ความผิดเป็นของง่ายที่จะแก้ไข จงใจกว้างกับผู้อื่นด้วยการให้ความสนับสนุนกับและให้กำลังใจเขา นอกจากนี้เราต้องแสดงออกถึงความเลื่อมใสในความสามารถของเขา และแสดงให้เขาเห็นว่าแม้เรื่องที่ผิดพลาดก็สามารถถูกแก้ไขได้โดยง่าย

กฎข้อที่ 9: จงทำให้ผู้อื่นมีความสุขในการปฏิบัติตามสิ่งที่เราต้องการ เราควรหลีกเลี่ยงการออกคำสั่งหรือการทำให้ผู้อื่นปฏิบัติตามเราโดยไม่เห็นถึงความสำคัญเราต้องแสดงให้เห็นว่าสิ่งที่เราต้องการให้เขาทำนั้นสำคัญ และเขาเองก็เห็นด้วยกับความสำคัญนั้น เขาจึงตั้งใจทำอย่างมีความสุขได้

5. วิธีปฏิบัติ 7 ประการที่ทำให้ชีวิตครอบครัวมีความสุขยิ่งขึ้น

กฎข้อที่ 1: จงอย่าเป็นคนจู้จี้ขี้เอาเรื่อง อย่าคอยแต่จะจ้องหาเรื่องอีกฝ่าย เพราะจะทำให้อีกฝ่ายอยากหลบหนีออกจากความสัมพันธ์

กฎข้อที่ 2: จงอย่าพยายามเป็นเจ้าหัวใจคู่แต่งงานของเราอย่าไปขัดขวางการหาความสุขของอีกฝ่าย เว้นที่ไว้ให้อีกฝ่ายได้มีชีวิตของตัวเองด้วย

กฎข้อที่ 3: อย่าตำหนิติเตียน จนทำให้อีกฝ่ายต้องขายหน้าคนอื่น

กฎข้อที่ 4: จงให้คำยกย่องสรรเสริญอย่างบริสุทธิ์ใจ กล่าวชมอีกฝ่ายในเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ ในทุกวัน เพื่อทำให้เขามีความสุข และตัวเราก็จะมีความสุขตามไปด้วย

กฎข้อที่ 5: จงเอาใจใส่ในสิ่งเล็ก ๆ น้อย ๆ ให้ความสำคัญกับสิ่งเล็กน้อยในทุกเรื่องเพื่อประคับประคองชีวิตการแต่งงานให้ราบรื่น

กฎข้อที่ 6: จงมีกริยาวาจาที่สุภาพอ่อนโยนอยู่เสมอ อย่าทำตัวเป็นคนหยาบช้าและปากร้ายกับอีกฝ่าย

กฎข้อที่ 7: จงศึกษาเรื่องกามารมณ์ที่ดีในการแต่งงาน เพราะเรื่อง sex นับเป็นเรื่องสำคัญของชีวิตคู่ !

วิธีชนะมิตรและจูงใจคน

รีวิวิสั้น ๆ หลังอ่าน

หนึ่งในตระกูลหนังสือคลาสสิกของ เดล คาร์เนกี ที่เขียนตั้งแต่ปี 1936 !!! นานมากกก เกือบจะ 100 ปีแล้วแต่เนื้อหาไม่เก่าเลย กฎหลายข้อยังคงนำไปใช้ได้จริง แสดงให้เห็นได้ชัดเจนเลยว่าความสัมพันธ์พื้นฐานของมนุษย์เป็นสิ่งที่ไม่ได้เปลี่ยนโดยง่าย

เรียกว่าเป็นหนังสือต้นตำรับ howto ที่กลายมาเป็นหนึ่งในต้นตอของการอ้างอิงถึงในหนังสือ howto ยุคใหม่ ๆ แต่ต้องยอมรับว่าเนื้อหาอ่านยาก เพราะภาษาที่แปลมา บวกกับความไม่คุ้นชินกับบริบทที่มักเป็นเรื่องราวเก่า ๆ ในอดีตอันไกลโพ้น

ถ้าจะให้แนะนำ แนะนำว่าถ้าใครสนใจอยากรู้ต้นฉบับของหนังสือ howto จริง ๆ เล่มนี้ต้องไม่พลาด แต่ถ้าใครอยากอ่านหนังสือ howto ที่อ่านง่ายและเนื้อหารวบรัด เล่มนี้อาจไม่ตอบโจทย์มากนัก

หากคุณต้องการพัฒนาทักษะการเข้าสังคมและสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับผู้อื่น หนังสือ “วิธีชนะมิตรและจูงใจคน” เป็นหนังสือที่ควรค่าแก่การอ่านอย่างยิ่ง


ผู้เขียน: Dale Carnegie (เดล คาร์เนกี)
ผู้แปล: อาษา ขอจิตต์เมตต์
จำนวนหน้า: 360 หน้า
สำนักพิมพ์: แสงดาว, บจก.สนพ.
เดือนปีที่พิมพ์: 2009


บทความอื่นที่น่าสนใจ

แกงไตปลา แกงใต้รสเผ็ดร้อนกลมกล่อม

แกงไตปลา แกงใต้รสเผ็ดร้อนกลมกล่อม

แกงไตปลา

แกงไตปลา สัญลักษณ์อย่างหนึ่งของความเป็นใต้ (แต่ที่ใต้เรียกแกงพุงปลา) แน่นอนว่าอาหารใต้จะมีรสชาติเข้มข้น เผ็ดร้อน และหอมกรุ่นไปด้วยเครื่องเทศ ซึ่งแกงไตปลามีรสชาติเหล่านั้นครบถ้วน นอกจากนี้ แกงไตปลายังถือว่าเป็นหนึ่งในอาหารหมักดองเพื่อถนอมอาหาร
การทำแกงชนิดนี้จึงสามารถเก็บไว้กินได้นานหลายวัน โดยแช่ในตู้เย็นแล้วนำมาอุ่นใหม่ ก็ยังให้รสชาติที่เร่าร้อนและแน่นอนอร่อยเหมือนเดิม

ส่วนผสมแกงไตปลา

  • ไตปลา 1/2 ถ้วย
  • ปลาทูหรือปลาโอย่าง 2-3 ตัว (แกะเนื้อ)
  • มะเขือพวง 1 ถ้วย
  • มะเขือเปราะ 4-5 ลูก (ผ่าครึ่ง)
  • ฟักทอง 200 กรัม (หั่นเป็นชิ้นพอดีคำ)
  • หน่อไม้สด 200 กรัม (หั่นเป็นชิ้น)
  • ถั่วฝักยาว 100 กรัม (หั่นท่อนสั้น)
  • มะขามเปียก 2 ช้อนโต๊ะ
  • ใบมะกรูด 5-6 ใบ (ฉีก)
  • น้ำเปล่า 3 ถ้วย
  • น้ำปลา 1 ช้อนโต๊ะ (ปรุงรสเพิ่มเติมถ้าจำเป็น)
  • เกลือ 1 ช้อนชา

ส่วนผสมพริกแกงตำเอง

  • พริกขี้หนูแห้ง 10 เม็ด (แช่น้ำให้นุ่ม)
  • หอมแดง 5 หัว
  • กระเทียม 5 กลีบ
  • ข่า 1 ช้อนชา (หั่นละเอียด)
  • ตะไคร้ 2 ต้น (ซอยบาง)
  • ผิวมะกรูด 1 ช้อนชา
  • กะปิ 1 ช้อนโต๊ะ
  • ขมิ้นสด 1 ชิ้น (ประมาณ 1 นิ้ว หั่นละเอียด)
  • พริกไทยดำเม็ด 1 ช้อนชา

วิธีทำพริกแกง

  • ใส่พริกขี้หนูแห้ง หอมแดง กระเทียม ข่า ตะไคร้ ผิวมะกรูด ขมิ้น และพริกไทยดำลงในครก โขลกให้ละเอียด
  • ใส่กะปิลงไปโขลกรวมจนส่วนผสมเข้ากันดีและเนียนละเอียด

วิธีทำแกงไตปลา

  1. ตั้งหม้อใส่น้ำเปล่าลงไปบนไฟกลาง ใส่พริกแกงที่โขลกไว้ลงไป คนให้เข้ากันดี
  2. ใส่ไตปลาลงไปในหม้อ คนให้ละลายเข้ากัน เคี่ยวด้วยไฟอ่อนจนไตปลาหอมและสุกดี ประมาณ 10-15 นาที
  3. ใส่ฟักทอง หน่อไม้ และถั่วฝักยาวลงไป เคี่ยวจนผักเริ่มสุก
  4. ใส่เนื้อปลาทูหรือปลาโอย่างที่แกะไว้ลงไป ตามด้วยมะเขือเปราะและมะเขือพวง เคี่ยวต่อจนผักและปลาสุกทั่วถึง
  5. ใส่น้ำมะขามเปียกและใบมะกรูดลงไป ชิมรส ปรุงด้วยน้ำปลาหรือเกลือเพิ่มตามชอบ เคี่ยวต่ออีก 5 นาที ปิดไฟเสิร์ฟพร้อม

#ขอบคุณเจ้าของภาพและสูตร


บทความอื่นๆที่น่าสนใจ

กวางตุ้งผัดเนื้อ เนื้อวัวหอมๆ กับผักสดๆ อร่อยกรุบกรอบ

กวางตุ้งผัดเนื้อ เนื้อวัวหอมๆ กับผักสดๆ อร่อยกรุบกรอบ

กวางตุ้งผัดเนื้อ

กวางตุ้งผัดเนื้อ เป็นเมนูผัดที่ทำง่าย อร่อย และมีประโยชน์ เหมาะสำหรับมื้ออาหารที่เร่งรีบ หรืออยากทานอาหารจีนรสชาติเข้มข้นที่บ้าน วันนี้เราจะมาเรียนรู้วิธีทำกวางตุ้งผัดเนื้อแบบง่ายๆ ที่ใครๆ ก็ทำได้ พร้อมเคล็ดลับให้เมนูออกมาอร่อยถูกปาก

วัตถุดิบ

  • เนื้อวัวหั่นชิ้นบาง 200 กรัม
  • กวางตุ้ง 200 กรัม (หั่นท่อนพอดีคำ)
  • กระเทียมทุบ 5 กลีบ
  • น้ำมันพืช 2 ช้อนโต๊ะ
  • ซีอิ๊วขาว 1 ช้อนโต๊ะ
  • ซอสหอยนางรม 1 ช้อนโต๊ะ
  • น้ำตาลทราย 1/2 ช้อนชา
  • น้ำปลา 1/2 ช้อนชา
  • พริกไทยป่นเล็กน้อย
  • น้ำเปล่าเล็กน้อย (สำหรับผัด)

วิธีทำ

1.เตรียมเนื้อวัว

  • หั่นเนื้อวัวเป็นชิ้นบาง ๆ เพื่อให้สุกง่ายและนุ่มเวลาผัด

2.ผัดเนื้อ

  • ตั้งกระทะบนไฟกลาง ใส่น้ำมันพืช รอจนร้อน จากนั้นใส่กระเทียมทุบลงไปผัดจนหอม ใส่เนื้อวัวที่หั่นบางลงไปผัด ผัดจนเนื้อวัวเริ่มสุก แต่ยังไม่ต้องสุกเต็มที่ พักไว้ด้านข้าง

3.ผัดกวางตุ้ง

  • ใส่กวางตุ้งที่หั่นเตรียมไว้ลงในกระทะ ผัดกับน้ำมันและกระเทียมจนเริ่มสลด ใส่น้ำเปล่าเล็กน้อยเพื่อให้กวางตุ้งนุ่มเร็วขึ้น

4.ปรุงรส

  • ปรุงรสด้วยซีอิ๊วขาว ซอสหอยนางรม น้ำปลา และน้ำตาล ผัดให้เข้ากัน ใส่เนื้อที่ผัดไว้กลับลงกระทะ ผัดรวมกันอีกครั้งจนเนื้อสุกพอดีและผักนุ่ม

5.เสิร์ฟ

  • ตักกวางตุ้งผัดเนื้อชิ้นบางใส่จาน โรยพริกไทยป่นเล็กน้อยก่อนเสิร์ฟ พร้อมข้าวสวยร้อน ๆ

💡เคล็ดลับ ถ้าต้องการให้เนื้อวัวนุ่ม สามารถหมักเนื้อด้วยซีอิ๊วขาวและแป้งมันเล็กน้อยก่อนนำมาผัด

ข้อเสนอแนะเพิ่มเติม:

  • สามารถเพิ่มวัตถุดิบอื่นๆ ลงไปในเมนูได้ตามชอบ เช่น เห็ด หอมใหญ่ หรือแครอท
  • สำหรับคนที่ไม่ทานเนื้อ สามารถเปลี่ยนเป็นหมูสไลด์ หรือเต้าหู้แทนได้

บทความอื่นๆที่น่าสนใจ

รีวิวหนังสือ ” ใจดีกับตัวเองบ้างก็ได้ ” สู่การดูแลจิตใจอย่างเป็นมิตร

รีวิวหนังสือ ” ใจดีกับตัวเองบ้างก็ได้ ” สู่การดูแลจิตใจอย่างเป็นมิตร

ใจดีกับตัวเองบ้างก็ได้

หนังสือ ” ใจดีกับตัวเองบ้างก็ได้ ” เป็นหนังสือที่น่าสนใจมากค่ะ ซึ่งนำเสนอแนวคิดที่ว่า การดูแลจิตใจของตัวเองนั้นสำคัญไม่แพ้การดูแลร่างกายเลย โดยเฉพาะในยุคปัจจุบันที่เรามักจะให้ความสำคัญกับเรื่องงาน เรื่องอื่นๆ มากกว่าเรื่องของตัวเอง

10 ข้อคิดจากหนังสือ ใจดีกับตัวเองบ้างก็ได้

1. ลองจำกัดเวลาเล่นโซเชียลมีเดียเหลือแค่วันละ 30 นาที

เพราะการเสพติดโซเชียลมีเดียมากเกินไป จะทำให้เราเอาตัวเองไปเปรียบเทียบกับคนอื่นตลอดเวลา อย่าติดกับยอดไลค์ ยอดแชร์ อย่ารู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจเมื่อเห็นโพสต์คนอื่น เพราะเราไม่มีทางรู้ได้เลยว่าชีวิตเขาผ่านอะไรมาบ้างแล้ว ลองปิดแจ้งเตือน และทำโซเชียลดีท็อกซ์ดูบ้าง

2. เราอาจนอนดึกเพราะ “Revenge Bedtime Procrastination”

หรือการเลื่อนเวลานอนเพื่อแก้แค้นความเครียดในช่วงกลางวันที่สะสมมากจาการเรียน การทำงาน วิธีแก้การนอนดึกจึงเป็น การรู้จักใจดีกับตัวเองบ้าง ไม่ต้องทำเป้าหมายให้สำเร็จทุกวันก็ได้ บางวันพลาดไป หรือเผลอนอนดึกไป กินอาหารที่ไม่ดีต่อสุขภาพบ้างก็ไม่เป็นไร มองตัวเองเหมือนเป็นเพื่อนคนหนึ่ง และคอยให้กำลังใจตัวเองอยู่เรื่อย ๆ

3. ปล่อยวางความคาดหวังพ่อแม่ของเรา

หลายคนมีความคาดหวังกับพ่อแม่ตัวเองในวัยเด็กมากเกินไป จนลืมไปว่า แท้จริงแล้ว พวกท่านเองก็เป็นมนุษย์คนหนึ่งเหมือนกัน เป็นมนุษย์ที่ทำผิดพลาดบ้าง และมีปัญหาที่ต้องรับมือไม่ต่างกับเรา ถ้าเรารู้จักปล่อยวางสิ่งที่เราคาดหวังให้พ่อแม่เป็นทิ้งไป เราอาจจะรู้สึกเบา และเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีในการปรับความเข้าใจกันก็ได้

4. เปิด Airplane mode กับตัวเอง

ลองโฟกัสกับสิ่งที่อยู่ตรงหน้าบ้าง ไม่ใช่แค่เรื่องโทรศัพท์มือถือ แต่คือกับโลกภายนอกทุก ๆ อย่าง ลองหาเวลาเงียบ ๆ อยู่กับตัวเองบ้าง

5. ไม่ต้องรอให้สำเร็จถึงจะพอใจในตัวเอง

เพราะมันจะเป็นการกดดันตัวเองมากจนเกินไป ลองรักตัวเองในแบบที่ตัวเองเป็นดู เพราะเราก็เป็นมนุษย์ที่ล้วนมีสุข มีทุกข์ เป็นรสชาติของชีวิตที่แตกต่างกันไป

6. การที่เราได้รับมือกับสัตว์เลี้ยงที่จากไปเป็นเรื่องยาก

แต่อาจเป็นบทเรียนสำคัญที่สอนเราให้รับมือกับการจากลาในครั้งอื่น ๆ ที่เราอาจเศร้าและเสียใจมากกว่าได้

7. แม้เราจะเข้าถึงโลกได้ง่ายขึ้น แต่อย่าให้สิ่งไม่จำเป็นเข้าถึงเราได้ง่ายเกินไป

เช่น พวกคอมเมนต์ขยะ หรือข่าวแย่ ๆ ทั้งหลาย ลองเลือกหาแต่เรื่องราวดี ๆ และลบคอมเมนต์ที่ไม่จำเป็นทิ้งไปบ้างก็ได้

8. When it rains, look for the rainbow. When it is dark, look for stars. ลองโอบกอดตัวเองในแบบที่เป็น ยอมรับตัวเอง มองบวก และใจดีกับตัวเองเยอะ ๆ

9. ความรักของพ่อแม่ต่อลูกตัวเอง ไม่จำเป็นต้องสมบูรณ์แบบ

ขอแค่เป็นความรักที่ดีพอ จนลูกสามารถเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่ดีในสังคมได้ก็พอแล้ว อย่าคาดหวังความเป็นพ่อแม่ที่สมบูรณ์แบบจากตัวเองเยอะจนเกินไป

ใจดีกับตัวเองบ้างก็ได้

10. หลายครั้งชีวิตก็อาจไม่ได้เป็นดั่งที่เราหวังไว้

ไม่เหมือนในหนัง หรือนิยาย ที่สุดท้ายแล้วตัวเองจะประสบความสำเร็จเสมอ ถ้าแม้ฝันของเราจะไม่เป็นจริง แต่สิ่งสำคัญกว่าคือการเรียนรู้ที่จะอยู่กับความผิดหวัง เรียนรู้ที่จะอยู่กับความพ่ายแพ้ และหาวิธีก้าวต่อไปในแบบของตัวเอง

รีวิวสั้น ๆ หลังอ่าน

หนังสือเล่มที่สองของหมอจริง โคตรหนังสือฮีลใจแห่งยุค ที่น่าจะเหมาะสมกับยุคสมัยเป็นที่สุด ท่ามกลางความกดดัน แลกะสภาพสังคมที่ไม่เป็นใจ การได้หยิบหนังสือหมอจริงมาพลิกอ่านบทความสั้น ๆ อาจต่อเติมกำลังใจดี ๆ ให้เราได้ในทุกวัน

ใจดีกับตัวเองบ้างก็ได้

ใจดีกับตัวเองบ้างก็ได้
ผู้เขียน หมอจริง
จำนวนหน้า 192 หน้า
หมวดหมู่: จิตวิทยา การพัฒนาตัวเอง , การพัฒนาตัวเอง how to


บทความอื่นที่น่าสนใจ

รีวิวหนังสือ วิถีผู้ชนะฉบับคนเก่งแบบเป็ด (Pat Flynn)

รีวิวหนังสือ วิถีผู้ชนะฉบับคนเก่งแบบเป็ด (Pat Flynn)

วิถีผู้ชนะฉบับคนเก่งแบบเป็ด

  • ความเข้าใจที่ว่าผู้เชี่ยวชาญเรื่องใดเรื่องหนึ่งจนสุดทางเท่านั้นจะสามารถประสบความสำเร็จได้
  • สิ่งนี้น่าตั้งคำถามอีกครั้งว่ามันจริงทั้งหมดเลยหรือไม่
  • ในเมื่อโลกนี้ล้วนมีสิ่งล่อตาดึงดูดใจให้เราอยากทำความรู้จักอีกมากมาย
  • การเรียนรู้ทักษะหลายด้าน หรือการเป็น “เป็ด” ก็อาจสร้างความสำเร็จได้ด้วยเช่นกัน

หนังสือกล่าวถึงวิธีฝึกฝนสู่การเป็นคน “เก่งกว้าง” (มีความสามารถที่หลากหลาย) ที่จะช่วยนำพาความสำเร็จเข้ามาในชีวิต ด้วยกฎเหล็ก 5 ข้อหลักที่ผู้เขียนใช้ในการนำเสนอเป็นแก่นของหนังสือ ซึ่งได้แก่ การเน้นเรียนทักษะหลาย ๆ ด้านร่วมกัน การเป็นคนเก่งลึกในระยะสั้น การเป็นคนเก่งในสิ่งใดสิ่งหนึ่งเพียง 80% การโฟกัสแต่ทักษะที่จำเป็นสำหรับเป้าหมาย และการหมั่นฝึกฝนพร้อมกับเพิ่มระดับความยาก

รายละเอียดปลีกย่อยจะเป็นการแนะนำวิธีประยุกต์กฎเหล็กทั้งหลายเหล่านั้นไปใช้ในแบบฉบับของคุณเอง และจูงใจให้เกิดความรู้สึกร่วมต่อการพิชิตเป้าหมายด้วยทักษะรอบด้าน โดยผู้เขียนจะยกตัวอย่างจากกิจกรรมที่เขาสนใจ นั่นคือการออกกำลังกายและการเล่นกีตาร์ตลอดเนื้อหา

นอกจากกฎเหล็กสำคัญ 5 ข้อที่กล่าวไว้ อีกสิ่งหนึ่งที่หนังสือนำเสนอคือทักษะพื้นฐานอย่างเช่นการโน้มน้าวผู้อื่นและการใช้เหตุและผล อันจะช่วยให้เราสามารถผสมผสานสิ่งต่าง ๆ ออกมาได้ดีและพัฒนาต่อยอดไปยังทักษะที่เราสนใจและจำเป็นในอนาคต

หนังสือแบ่งออกเป็นทั้งหมด 7 บท เริ่มต้นด้วยการเกริ่นนำถึงความสำคัญและประโยชน์ที่ดีกว่าของการเป็นคนเก่งหลายด้านแทนที่จะเก่งด้านเดียวไปจนสุดทาง และปิดท้ายด้วยตัวอย่างของผู้ที่ประสบความสำเร็จในแบบของการเป็นคนเก่งกว้าง โดยบทเรียนเนื้อหาประกอบด้วย

(1) เมื่อ “เก่งกว้าง” เป็นศัตรูกับ “เก่งลึก”
(2) สู่อิสระในการเป็นเลิศ
(3) 5 กฎเหล็กเปลี่ยนคุณเป็นสุดยอดคนเก่งกว้าง
(4) เทคนิคฝึกฝนให้เก่งและพัฒนาให้เร็วขึ้น
(5) เริ่มพัฒนาตัวเองจากทักษะพื้นฐาน
(6) ทักษะที่คุณสนใจ (แต่อาจไม่จำเป็น)
(7) ทักษะจำเป็น (แต่คุณอาจไม่สนใจ)

เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการเรียนรู้วิธีฝึกฝนในการเป็นคนเก่งรอบด้านเพื่อสร้างความสำเร็จในชีวิต หรือผู้ที่มองหาหนังสือสักเล่มที่อ่านง่าย ๆ ไม่ลึกลับซับซ้อนเพื่อสร้างพลังใจในการไปต่อบนเส้นทางอย่างผู้ที่ไม่จำเป็นต้องเชี่ยวชาญด้านใดด้านหนึ่งโดยเฉพาะ

โดยส่วนตัวเราชอบความย่อยง่ายของข้อมูลภายในเล่ม อ่านแล้วทำความเข้าใจได้ทันที อาจเนื่องด้วยเป็นหนังสือที่เขียนขึ้นจากประสบการณ์ส่วนตัว ซึ่งดีในแง่ของการสื่อออกมาตรง ๆ แต่ก็จะมีข้อมูลบางส่วนที่ไม่เจาะลึกในรายละเอียดที่เราอยากรู้มากกว่านี้ (แม้จะมีการอ้างอิงหนังสือที่น่าสนใจให้ไปตามอ่านหลายเล่ม) บางช่วงให้ความรู้สึกคล้ายคลึงกับการฟังไลฟ์โค้ชอยู่บ้าง ด้วยเพราะเต็มไปด้วยมุมมอง ทัศนคติ และการกระตุ้นแรงบันดาลใจ

ต้องเก่งแค่ไหนจึงจะประสบความสำเร็จ

ในยุคสมัยที่ใครต่อใครมักมองหาที่ทางของตนเองบนโลกเพื่อประคับประคองการใช้ชีวิตให้มีความหมาย หรืออาจรวมไปถึงการค้นหาสิ่งซึ่งจะช่วยให้ได้ประสบความสำเร็จในชีวิต อาจมีคนจำนวนมากเข้าใจว่าผู้ที่ไปถึงดวงดาวคือผู้ที่รู้ว่าตัวเองถนัดสิ่งใด และฝึกฝนให้เชี่ยวชาญอย่างเต็มกำลังเพียงเท่านั้น ปฏิเสธไม่ได้ว่ามันอาจเป็นเรื่องจริงสำหรับบางสายงาน แต่กับการทำมาหากินโดยทั่วไป ส่วนใหญ่แล้วการมีทักษะที่หลากหลายมักช่วยย่นระยะการก้าวไปสู่ความสำเร็จได้มากกว่า

แต่ทั้งนี้ ก็ขึ้นอยู่กับว่าคุณนิยามความสำเร็จของตัวเองไว้เป็นแบบไหน? ซึ่งมันสำคัญมากต่อเส้นทางที่คุณจะตัดสินใจไปต่อ

เก่งแบบเป็ดในหนังสือเล่มนี้

ผู้เขียนได้ใช้ประสบการณ์ของตัวเองในการนำเสนอมุมมองและบทเรียนชีวิตที่ได้จากการเป็นคนเก่งกว้างมาส่งต่อให้กับผู้ที่กำลังมองหาวิธีพัฒนาตนเองในแบบที่ไม่ต้องยึดติดกับการเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านใดด้านหนึ่งโดยเฉพาะ ประโยคหนึ่งจากหนังสือกล่าวไว้อย่างน่าคิดตามว่า “…เมื่อคุณเก่งทักษะด้านใดมากหน่อย คนทั่วไปก็ค่อย ๆ หายไป คุณจะดึงดูดผู้เชี่ยวชาญเข้ามาแทน…” ซึ่งเมื่อเราได้อ่านประโยคนี้ก็รู้สึกว่ามีส่วนจริงอยู่บ้าง หรือบางครั้งพวกเขาอาจไม่ได้หายไปเสียทีเดียว เพียงแต่สนามที่คุณเคยอยู่จะถูกปรับขึ้นไปในอีกระดับหนึ่ง และจะว่าไปมันไม่ได้มีอะไรเสียหายเพราะนั่นก็นับเป็นการพัฒนาศักยภาพเช่นกัน

ฉะนั้น หนังสือเล่มนี้จึงเป็นการนำเสนอทัศนคติเชิงบวกอย่างยิ่งต่อการเป็นผู้ที่มีทักษะเก่งกว้าง ซึ่งข้อดีคือมันอาจช่วยสร้างแรงบันดาลใจให้กับผู้อ่านได้ แต่ในส่วนของรายละเอียดเชิงลึกของข้อมูลจะมีไม่มากนัก ส่วนใหญ่อาจเป็นเรื่องที่เราหลายคนรู้อยู่บ้าง แต่นำมาเรียบเรียงและถ่ายทอดเชื่อมโยงกับตัวอย่างของประสบการณ์จริง ทำให้เราหยิบฉวยประโยชน์ของมันไปใช้ได้แทบจะในทันที เป็นหนังสือพัฒนาตนเองที่ไม่ต้องอาศัยการตีความหรือวิเคราะห์อะไรมากมายนอกจากการรู้จักเป้าหมายของตัวเองให้ดีพอ

กฎของคนเก่งกว้าง

ผู้เขียนได้สรุปถึงกฎของการเป็นคนเก่งกว้างในทัศนคติของเขาไว้ 5 ข้อใหญ่ พร้อมยกตัวอย่างโดยเทียบเคียงจากประสบการณ์ส่วนบุคคลของตนเองและผู้อื่นบ้าง (ตัวอย่างส่วนมากจะเป็นเรื่องของการออกกำลังกายและการเล่นกีตาร์ซึ่งเป็นสิ่งที่ผู้เขียนให้ความสนใจ) โดยกฎแต่ละข้อดูเหมือนจะเป็นเรื่องที่อาจมีหลายคนคุ้นชินอยู่แล้ว ซึ่งได้แก่

  • เรียนทักษะหลาย ๆ ด้านเพื่อใช้ร่วมกันดีกว่าเก่งด้านเดียวเป็นพิเศษ  เขามองว่าการเป็นคนเก่งกว้างจะช่วยเพิ่มโอกาสในการประสบความสำเร็จในชีวิต ในขณะที่คนเก่งลึกจำเป็นต้องอาศัยความเชี่ยวชาญที่ตนเองไม่มีจากผู้อื่นเพื่อบรรลุจุดมุ่งหมาย
  • จงเป็นคนเก่งลึกในระยะสั้น  บางครั้งการต้องทุ่มเทพลังและเวลาเพื่อฝึกฝนทักษะใหม่ ๆ อาจทำให้ทักษะเดิมที่มีหย่อนประสิทธิภาพลงไปบ้าง แต่มันจะเป็นเพียงช่วงเวลาสั้น ๆ เท่านั้น และไม่แน่ว่าการกลับไปฝึกฝนทักษะเดิมที่เคยทำจะช่วยให้คุณไปได้ไกลกว่าเดิมอีกด้วย
  • เก่งแค่ 80% ก็พอ  การเป็นคนเก่งกว้างไม่จำเป็นต้องเก่งจนทะลุปรอททุกทักษะ หันไปพัฒนาตนเองในด้านอื่น ๆ เพื่อสร้างมิติความเก่งให้ขยายออกไปในแนวระนาบจะคุ้มค่ากว่า
  • โฟกัสแต่ทักษะจำเป็นตามเป้าหมายที่ตั้งใจไว้  พึงระลึกถึงการให้ความสำคัญในทักษะที่จะนำไปสู่ภาพนิยามของตัวคุณเองเพื่อจำกัดขอบเขตความหลากหลายของทักษะ (เก่งแบบเป็ดก็จริง แต่เป็ดที่รู้เป้าหมายของตัวเองก็น่าจะดีกว่า)
  • หมั่นฝึกฝนและเพิ่มระดับความยาก   เมื่อตีเส้นรอบวงโคจรของทักษะแบบเป็ดและเป้าหมายของคุณได้เรียบร้อยแล้ว ก็ให้ฝึกฝนสิ่งเหล่านั้นอย่างมีพัฒนาการ อย่างไรก็ตาม อย่าลืมกฎข้อ 3 ข้อ 2 และข้อ 1 ด้วย

จะเห็นได้ว่าแต่ละข้อดูคล้ายสิ่งที่เราปฏิบัติกันในชีวิตประจำวันอยู่แล้ว เพียงแต่เราอาจไม่ได้โฟกัสมันอย่างชัด ๆ ดังที่หนังสือเล่มนี้ได้นำเสนอ การได้อ่านทบทวนถึงเรื่องราวเหล่านี้จึงช่วยให้เราสามารถเก็บเกี่ยวประโยชน์ของมันและนำมาประกอบการสร้างแผนก้าวไปสู่ความสำเร็จฉบับคนเก่งแบบเป็ดตามที่เราคาดหวังได้ดียิ่งขึ้น

พื้นฐานของการพัฒนาตนเอง

ในส่วนที่เพิ่มเสริมเติมแต่งจากกฎ 5 ข้อข้างต้น ผู้เขียนได้นำเสนอถึงจุดตั้งต้นของการพัฒนาตนเองไปสู่ความสำเร็จด้วยทักษะพื้นฐาน อันได้แก่ความมีระเบียบวินัย การมีสมาธิ การคิดด้วยหลักเหตุและผล การโน้มน้าวผู้คน และความเชื่อของตัวคุณ โดยเนื้อหาแต่ละส่วนนั้นจะไม่ได้ลงลึกถึงรายละเอียดแต่เน้นสร้างการรับรู้พร้อมแนวทางฝึกฝนอีกเล็กน้อย ฉะนั้นจึงอาจไม่ตอบโจทย์ผู้ที่อยากเข้าใจกระบวนการทำงานของมันให้ถ่องแท้

วิถีผู้ชนะฉบับคนเก่งแบบเป็ด

อย่างไรก็ตาม การสรุปช่วงท้ายของเล่มก่อนจะชี้ชวนทำความรู้จักกับผู้มีชื่อเสียงที่เก่งแบบเป็ดนั้น ผู้เขียนได้นำเสนอเรื่องราวของทักษะที่คุณสนใจ (แต่อาจไม่จำเป็น) และทักษะที่จำเป็น (แต่คุณอาจไม่สนใจ) ไว้ได้อย่างน่าประทับใจในความคิดของเรา เพราะเรื่องเหล่านี้บ่อยครั้งมันถูกมองข้ามด้วยเพราะการหลุดโฟกัสของผู้ที่พัฒนาทักษะหลาย ๆ ด้านในชีวิต เราขอสรุปในส่วนนี้ตามสิ่งที่เรายึดโยงกับความคาดหวังและเป้าหมายของเราเองว่า “จงรู้เป้าหมายของตัวเองให้แน่ชัด แต่ในขณะเดียวกันก็อย่าลืมว่าคนอื่นก็อาจชัดเจนอยู่แล้วในสิ่งที่เป็นเป้าหมายของพวกเขา” จะว่าไปแล้ว หนังสือหนึ่งเล่ม แต่ละคนย่อมซึมซับเรื่องราวระหว่างบรรทัดเอาไว้ได้ไม่เท่ากัน

และถ้าหากคุณอยากหาแรงบันดาลใจในชัยชนะแบบคนเก่งกว้าง อาจลองค้นหาแนวทางของคุณจากเล่มนี้

“วิถีผู้ชนะฉบับคนเก่งแบบเป็ด (How to be Better at (Almost) Everything)”

ผู้เขียน : Pat Flynn
(ปฏิภาณ กุลวพันธ์ แปล)
จำนวนหน้า : 224 หน้า / ราคาปก : 230 บาท
สำนักพิมพ์ : บิงโก
หมวด : พัฒนาตัวเอง


บทความอื่นที่น่าสนใจ

รีวิวหนังสือ : หยุดเลี้ยงลิงในสมองคุณ (Jennifer Shannon)

รีวิวหนังสือ : หยุดเลี้ยงลิงในสมองคุณ (Jennifer Shannon)

หยุดเลี้ยงลิงในสมองคุณ

หยุดเลี้ยงลิงในสมองคุณ (Jennifer Shannon) ลิงในสมองจากหนังสือ เป็นการเปรียบเทียบถึงสภาวะความวิตกกังวลของเราว่าเกิดจากปฏิกิริยาอัตโนมัติในการเอาชีวิตรอดเมื่อเผชิญหน้ากับภัยคุกคาม ซึ่งอาการเหล่านั้นมักส่งเสียงเจี๊ยวจ๊าวและกระโดดไปมาเหมือนลิง

ฉะนั้นในเวลาที่เราถูกเจ้าลิงปล้นสมองจึงทำให้เรามักตัดสินใจไปตามสัญชาตญาณการเอาตัวรอด ซึ่งนั่นถือเป็นการป้อนอาหารให้ลิงจนทำให้มันแข็งแรงและมีอำนาจมากขึ้น

ผู้เขียนใช้แนวทางการรักษาแบบบำบัดความคิดและพฤติกรรม หรือ CBT (Cognitive Behavior Therapy) เป็นพื้นฐานในการเขียนหนังสือ ซึ่งใส่ใจว่าอะไรทำให้ปัญหายังคงเป็นปัญหา มากกว่าจะตามสืบค้นต้นตอกระบวนการคิดที่สร้างมันขึ้น หนังสือเล่มนี้จึงเป็นหนังสือจิตวิทยาอีกเล่มที่อ่านง่าย ย่อยง่าย เพราะไม่มีศัพท์เทคนิคหรือข้อมูลเชิงวิชาการมากนัก

เนื้อหาภายในเล่มแบ่งเป็น 11 บท ได้แก่

  • บทที่ 1 รับรู้ภัยคุกคาม
  • บทที่ 2 ข้อสันนิษฐานสามข้อ
  • บทที่ 3 ให้อาหารลิง
  • บทที่ 4 ไม่ยอมเสี่ยง
  • บทที่ 5 โลกมันกลมนะ
  • บทที่ 6 ความรู้สึกที่จำเป็นต้องรู้สึก
  • บทที่ 7 เสียงกระซิบกระซาบของลิง
  • บทที่ 8 จุดประสงค์และแผนการ
  • บทที่ 9 วางเดิมพันให้น้อยลง
  • บทที่ 10 ฝึกชมเชยตัวเอง
  • บทที่ 11 ชีวิตที่เปิดกว้าง

การนำเสนอในเล่มจะพาผู้อ่านค่อย ๆ ล้วงไปทำความรู้จักลิงตัวปัญหาของตนแล้วเรียนรู้ที่จะรับมือและหยุดวงจรการตอบสนองไปตามสัญชาตญาณเพื่อให้ตนเองอยู่รอดปลอดภัยด้วยวิธีปรับมุมมองทางความคิดให้เปิดกว้างกว่าเก่า และกล้าเผชิญหน้ากับความวิตกกังวลมากกว่าเก่า

หยุดเลี้ยงลิงในสมองคุณ

โดยส่วนตัวเรามองว่าคล้ายกับการฝึกมี Growth Mindset ที่มองเห็นปัญหาว่าเป็นส่วนหนึ่งของการเรียนรู้ที่จะเติบโตในภายภาคหน้า ในหนังสือมีแบบฝึกหัดที่จะช่วยให้เราค้นพบแนวทางที่เหมาะสมกับตนเอง ซึ่งเมื่อเราทดลองทำก็พบคำตอบที่น่าสนใจ และคุณเองก็อาจค้นพบวิธีตัดจบความกังวลของตัวเองได้เช่นกัน

ไม่ใช่ทุกครั้งที่ความวิตกกังวลจะเป็นผู้ร้ายในสายตาของเรา ความวิตกกังวลบางอย่างนำไปสู่การค้นพบและแนวทางป้องกันก่อนที่จะกลายเป็นวัวหายแล้วล้อมคอกได้ หากแต่บางครั้งเจ้าความวิตกกังวลนี้กลับทำตัวเป็นภัยคุกคามเสียเองเมื่อมันทำให้คุณหลงอยู่ในวังวนความคิดที่ไม่มีทางออก และทำได้เพียงหลบเลี่ยงมันด้วยการเก็บงำผ่านกิจกรรมการเอาตัวรอดที่ทำให้คุณรู้สึกว่าตนเองจะปลอดภัย อาจเป็นงานอดิเรกที่ชอบหรือการพยายามหากิจกรรมผ่อนคลาย และนั่นเท่ากับคุณกำลังหล่อเลี้ยงปัญหาเอาไว้จนมันมีแต่จะกลายเป็นความกังวลที่แข็งแกร่งขึ้นเรื่อย ๆ

คนขี้กังวลมักมีนิสัยแบบนี้

ความวิตกกังวลคือสภาวะที่กระตุ้นให้เราต้องลงมือทำอะไรสักอย่างเพื่อตอบสนองต่อสิ่งที่เราคิดว่าเป็นภัยคุกคาม ผู้เขียนได้ตั้งข้อสันนิษฐานที่เป็นการตอบสนองสัญชาตญาณการเอาชีวิตรอดจากภัยคุกคามไว้ 3 ข้อ ได้แก่ การทนความไม่แน่นอนไม่ได้ (ฉันต้องแน่ใจเต็มร้อย ฉันถึงจะรอด) การนิยมความสมบูรณ์แบบ (ฉันต้องไม่ทำผิดพลาด ฉันถึงจะรอด) และการรับผิดชอบจนล้นเกิน (ฉันต้องรับผิดชอบความสุขและความปลอดภัยของทุกคน ฉันถึงจะรอด) ซึ่งคนที่ประสบปัญหาภาวะวิตกกังวลมากจนเกินไปมักมีส่วนประกอบไม่ข้อใดก็ข้อหนึ่ง หรืออาจจะมากกว่าหนึ่งข้อด้วยซ้ำ

สิ่งที่เกิดขึ้นไม่สำคัญเท่าสิ่งที่เราตอบสนอง

อย่างที่กล่าวไว้ข้างต้น ความวิตกกังวลมักกระตุ้นให้เราลงมือทำอะไรสักอย่าง และสิ่งที่คุณลงมือทำนั่นเองถือเป็นการให้อาหารลิงและยืนยันอย่างแน่นอนว่ามันเป็นภัยคุกคามอย่างถูกต้อง เพราะตอนที่เราตัดสินใจทำเพียงเพื่อต้องการระงับความกังวลนั้นเป็นเพียงการตอบสนองไปตามสัญชาตญาณโดยขาดการรู้คิด วิธีที่คุณจะรู้ว่าเมื่อใดสิ่งที่คุณลงมือทำคือการใช้กลยุทธ์เอาตัวรอด ให้ลองสังเกตว่ามันมีลักษณะ 1 ใน 2 รูปแบบนี้หรือไม่ แบบแรก สิ่งที่คุณทำคลี่คลายสถานการณ์ความวิตกกังวลได้เพียงชั่วคราวและต้องทำซ้ำ ๆ หรือแบบที่สอง สิ่งที่คุณลงมือทำพาคุณออกห่างจากเป้าหมายหรือค่านิยมสำคัญในชีวิตของคุณไปทุกที

อย่ากลัวที่จะรู้สึกแย่

วิธีการเบื้องต้นที่จะนำพาเราไปสู่การตัดวงจรความวิตกกังวลที่มากเกินพอดีนั่นคือการยอมให้ตัวเองได้รู้สึกแย่บ้าง ด้วยการฝึกคิดถึงมุมมองใหม่ ๆ เพื่อหยุดระบบความคิดที่ตัดสินทุกสิ่งที่คุณไม่รู้จักและไม่เคยทดลองว่าเป็นภัยคุกคามของชีวิต คุณอาจเริ่มด้วยแนวคิดที่ว่าไม่จำเป็นต้องแน่ใจเต็มทั้งร้อยเปอร์เซ็นต์ ผิดพลาดได้ไม่ใช่เรื่องเสียหาย หรือรับผิดชอบขอบเขตของตนเองก่อน ลองเผชิญหน้าและเรียนรู้ที่จะโอบรับความกังวลของคุณเองโดยไม่ต้องรีบหาวิธีกำจัด ลองมองว่าสิ่งเหล่านี้คือสารตั้งต้นที่จะช่วยพาคุณไปสู่ความเข้าใจในสเกลการเติบโตที่ใหญ่ขึ้นของชีวิต มากกว่าจะยอมยึดตัวเองเอาไว้กับพื้นที่ปลอดภัยและวนอยู่ในวงจรความวิตกกังวลซ้ำ ๆ

หนังสือที่ช่วยรับมือความวิตกกังวล

โดยสรุปแล้วสำหรับเรา หนังสือได้หยิบยื่นเครื่องมือการฝึกฝนตนเองสำหรับผู้ที่ตกอยู่ในภาวะวิตกกังวลจนส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิต แต่ละวิธีที่ถูกถ่ายทอดคล้ายกับการหยิบยื่นมุมมองความคิดของการฝึกเป็นคนมี Growth Mindset หรือทัศนคติแบบพัฒนาได้แต่ขยายความเฉพาะเจาะจงที่จะแก้ปัญหาเรื่องความวิตกกังวลตามชื่อหนังสือ มันจึงเป็นอีกเล่มที่เหมาะมากสำหรับคนที่ต้องการจะแก้ไขจุดบกพร่องในเรื่องนี้ เพราะนอกจากแบบทดสอบและแนวทางที่ช่วยให้เราค้นพบว่าความวิตกกังวลใดที่บั่นทอนชีวิตเราอยู่ วิธีคิดของเราแบบไหนที่ถือเป็นการหล่อเลี้ยงมันไว้ และเราใช้กลยุทธ์อะไรจนทำให้เราประสบความสำเร็จในการหล่อเลี้ยงความวิตกกังวลของตนเองซ้ำแล้วซ้ำเล่า มันยังช่วยนำเสนอวิธีคิดและกลยุทธ์ทางเลือกอื่น ๆ ที่เราอาจไม่รู้ว่าควรเริ่มจากจุดไหนให้ลองปรับใช้ด้วยการบอกเล่าแบบง่าย ๆ ผ่านตัวอย่างกรณีศึกษาที่ทำให้เห็นภาพได้ชัดเจนขึ้น

หยุดเลี้ยงลิงในสมองคุณ

แต่ถ้าหากคุณอ่านมาถึงบรรทัดนี้แล้วยังคงวิตกกังวลว่าหนังสือเล่มเดียวมันคงช่วยแก้ไขอะไรไม่ได้ เราอยากให้คุณลองเริ่มพาตัวเองไปสู่ทางเลือกใหม่

“หยุดเลี้ยงลิงในสมองคุณ! (Don’t Feed the Monkey Mind)”

ผู้เขียน : Jennifer Shannon
(สุดคนึง บูรณรัชดา แปล)
จำนวนหน้า : 192 หน้า / ราคาปก : 265 บาท
สำนักพิมพ์ : Bookscape
หมวด : จิตวิทยา/พัฒนาตนเอง


บทความอื่นที่น่าสนใจ

ร้านกาแฟสไตล์นอร์ดิก ผสานความทันสมัยและเรียบง่าย

ร้านกาแฟสไตล์นอร์ดิก (Nordic House Style) ผสานความทันสมัยและเรียบง่าย

ร้านกาแฟสไตล์นอร์ดิก

ร้านกาแฟสไตล์นอร์ดิก คือร้านกาแฟที่ได้รับแรงบันดาลใจมาจากความเรียบง่ายและความอบอุ่นของประเทศในแถบสแกนดิเนเวีย เช่น สวีเดน นอร์เวย์ ฟินแลนด์ และเดนมาร์ก ซึ่งมีลักษณะเด่นคือการใช้โทนสีอ่อน วัสดุธรรมชาติ และแสงธรรมชาติ เพื่อสร้างบรรยากาศที่ผ่อนคลายและสบายตา

วันนี้เป็น ร้านกาแฟสไตล์นอร์ดิก (Nordic House Style) ผสานความทันสมัยและเรียบง่าย หลังคาแหลม ฟังก์ชั่นพื้นที่โล่ง 2 หลัง 1 ห้องน้ำ เชื่อมด้วยห้องกลางบ้านและมีดาดฟ้าด้านบน  พื้นที่ใช้สอย 140 ตารางเมตร เป็นผลการออกแบบและก่อสร้างจาก รวยก่อสร้าง ท่านที่กำลังหาไอเดียในการสร้างร้านกาแฟสไตล์นอร์ดิกลองชมรายละเอียดด้านในดูก่อนนะครับ

ผลงานและรูปภาพ : รวยก่อสร้าง
เรียบเรียง : kasetbanna.com

ร้านกาแฟสไตล์นอร์ดิก

ตัวร้านกาแฟเป็นหลังคาทรงหน้าจั่วแบบสไตล์นอร์ดิก หลังคาเลือกสีเข็มของสีเทา ตัดกับฝ้าเฟดานสีไม้ ด้านหน้ามี 2 หน้าจั่ว เล่นระดับกับหลังคากันสาดแบบโมเดิร์น นอกจากนนี้ ยังมีหน้าตัวด้านข้างของบ้าน อีก 2 เพิ่มลูกเล่นให้บ้าน

ร้านกาแฟสไตล์นอร์ดิก

ตัวร้านตกแต่งด้วยสีขาว ผนังตกแต่งด้วยผนังงานไม้สีน้ำตาล ระแนงเหล็ก และหน้าต่างทรงสูง และมีระเบียงด้านหน้าบ้าน

ร้านกาแฟสไตล์นอร์ดิก

จุดเด่นของบ้านสไตล์นอร์ดิก

  • ความเรียบง่าย: เน้นเส้นสายที่สะอาดตา ไม่ซับซ้อน ใช้เฟอร์นิเจอร์น้อยชิ้นแต่มีประโยชน์ใช้สอย
  • โทนสีอ่อน: มักใช้สีขาว สีครีม สีเทา หรือสีพาสเทล เพื่อสร้างความรู้สึกโปร่ง โล่ง สบายตา
  • วัสดุธรรมชาติ: ใช้ไม้ ไม้ไผ่ หรือผ้าลินิน เพื่อให้บ้านดูอบอุ่นและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
  • แสงธรรมชาติ: ออกแบบให้มีหน้าต่างบานใหญ่เพื่อรับแสงธรรมชาติเข้ามาในบ้านให้มากที่สุด
  • เฟอร์นิเจอร์ฟังก์ชัน: เลือกเฟอร์นิเจอร์ที่ใช้งานได้หลากหลายและมีดีไซน์เรียบง่าย
  • ต้นไม้: นำต้นไม้มาตกแต่งเพื่อเพิ่มความสดชื่นและความเป็นธรรมชาติ

Nordic House Style

ส่วนของภายในร้านห้องโถงโปร่ง ปูพื้นด้วยกระเบื้องลายหินอ่อนดูสบายตา ฝ้าเพดานเรียบโปร่งสวยงาม สีภายในเลือกใช้โทนสีขาวสบายตัวและที่สำคัญทำให้บ้านดูสว่างด้วย

Nordic House Style

ร้านกาแฟสไตล์นอร์ดิก

หากท่านกำลังมองหาแบบบ้านที่เรียบง่าย อบอุ่น และเหมาะกับสภาพอากาศในประเทศไทย บ้านสไตล์นอร์ดิกอาจเป็นตัวเลือกที่เหมาะสมสำหรับท่าน

ข้อมูลและภาพประกอบจาก : สร้างบ้านสระบุรี&ทีมงานรวยก่อสร้าง 


หมายเหตุ : ทางเพจไม่ได้รับสร้างบ้าน เราลงให้ดูเป็นไอเดียเท่านั้น หากสนใจแบบบ้านที่รีวิว สามารถติดต่อเจ้าของผลงานโดยตรงเองได้เลย ส่วนราคาก่อสร้าง ขึ้นอยู่กับสถานที่ พื้นที่ก่อสร้าง และ เกรดวัสดุ ซึ่งมีปรับขึ้น-ลงทุกปีครับ


บทความอื่นที่น่าสนใจ

แกงแคกบนา เมนูอาหารพื้นบ้านรสจัดจ้าน

แกงแคกบนา เมนูอาหารพื้นบ้านรสจัดจ้าน

แกงแคกบนา

แกงแคกบนา เป็นเมนูอาหารไทยพื้นบ้านที่มีรสชาติจัดจ้าน เป็นที่นิยมรับประทานกันมาก โดยเฉพาะในภาคเหนือและภาคอีสาน “แกงแค” หมายถึง แกงที่มีรสชาติเผ็ดจัดจ้าน ส่วน “กบนา” ก็คือ กบที่อาศัยอยู่ในนาข้าว นำมาประกอบอาหาร ทำให้ได้เมนูที่ทั้งอร่อยและมีคุณค่าทางอาหาร ผักที่เป็นส่วนผสมหลัก ส่วนใหญ่ประกอบด้วย ผักตำลึง ผักชะอม ใบชะพลู ผักชีฝรั่ง มะเขือพวง เห็ดลมอ่อน ผักเผ็ด และดอกแค

ส่วนผสม

  • กบนา 200 กรัม
  • ตำลึง 1 ถ้วย
  • ชะอม 1/2 ถ้วย
  • ชะพลู 1/2 ถ้วย
  • ถั่วฝักยาว 1/2 ถ้วย
  • มะเขือเปราะ 1/2 ถ้วย
  • มะเขือพวง 1/4 ถ้วย
  • ดอกงิ้วแห้ง 5 ดอก
  • เห็ดลมอ่อน 1/2 ถ้วย
  • ถั่วพู 1/2 ถ้วย
  • ผักขี้หูด 1/2 ถ้วย
  • ผักเผ็ด 1/2 ถ้วย
  • ดอกข่า 3 ดอก
  • ใบมะกรูด 5 ใบ
  • ผักชีฝรั่ง 2 ต้น
  • น้ำมันพืช 2 ช้อนโต๊ะ
  • กระเทียม 1 ช้อนโต๊ะ

เครื่องแกง

  • พริกขี้หนูแห้ง 15 เม็ด
  • กระเทียม 10 กลีบ
  • หอมแดง 5 หัว
  • ข่าหั่น 1 ช้อนโต๊ะ
  • ตะไคร้ซอย 2 ช้อนโต๊ะ
  • กะปิแกง 1 ช้อนชา
  • ปลาร้าต้มสุก 1 ช้อนโต๊ะ
  • เกลือ 1/2 ช้อนชา
  • ผงชูรสนิดหน่อย น้ำปลาปรุงรสตามชอบ

วิธีการทำ

  • สับกบเป็นชิ้นพอคำ
  • เด็ดหรือหั่นผักทุกชนิด ล้างให้สะอาด พักไว้ โขลกเครื่องแกงรวมกันให้ละเอียด
  • เจียวกระเทียมที่สับแล้วพอเหลือง ใส่เครื่องแกงลงผัดให้หอม ใส่กบลงไป ผัดให้สุก ใส่น้ำพอท่วมกบ ตั้งต่อให้เดือด ใส่ผักสุกยาก ตามด้วยผักที่สุกง่าย คนให้เข้ากัน พอผักสุก ยกลง ชิมปรุงรสตามชอบ
  • การคั่วหรือผัดเครื่องแกง ใช้ไฟปานกลาง เครื่องแกงบางสูตรอาจใส่เม็ดผักชี มะแขว่น ใบขิง หน่อข่า เพื่อเพิ่มกลิ่นหอมของแกงแค
    ผักที่ใช้เป็นส่วนผสม สามารถใส่ผักชนิดอื่นๆได้ เช่น หน่อไม้ต้ม ยอดมะพร้าว จักค่านแห้ง ดอกแคขาว ดอกแคแดงตามฤดูกาล



 

แกงแคกบนา นับเป็นเมนูอาหารไทยที่น่าสนใจและมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว หากมีโอกาสลองทำทานเองที่บ้าน รับรองว่าจะติดใจในรสชาติความอร่อยอย่างแน่นอน


บทความอื่นๆที่น่าสนใจ

แบบบ้านทรงปั้นหยา สวยหรูดูดี สุดทันสมัย พื้นที่ใช้สอย 130 ตรม

แบบบ้านทรงปั้นหยา สวยหรูดูดี สุดทันสมัย พื้นที่ใช้สอย 130 ตรม

แบบบ้านทรงปั้นหยา


แบบบ้านทรงปั้นหยา เป็นรูปแบบบ้านที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวและได้รับความนิยมอย่างต่อเนื่องในประเทศไทย ด้วยรูปทรงหลังคาที่สวยงามและความแข็งแรงทนทาน ทำให้บ้านทรงปั้นหยาเป็นที่ต้องการของผู้ที่ชื่นชอบสไตล์บ้านไทยดั้งเดิมผสมผสานกับความทันสมัย

วันนี้เรามีแบบบ้านทรงปั้นหยา ดีไซน์สวยโดดเด่น ทันสมัยสวยงาม  มาฝากกันอีกเช่นเคย สำหรับบ้านหลังนี้ มีขนาด 3 ห้องนอน 1 ห้องพระ 2 ห้องน้ำ พื้นที่ใช้สอย 130 ตรม.  ผลงานการออกแบบและก่อสร้างจาก  โดยทีมงานรวยก่อสร้าง  จะสวยขนาดไหน ไปชมรายละเอียดเพิ่มเติมได้กันได้เลยครับ

ที่มารูปภาพและทีมช่าง : รวยก่อสร้าง
Site : ที่บ้านละมุ อ.อุทัย จ.อยุธยา  Line : 0636191556  Tel : 0636191556

แบบบ้านทรงปั้นหยา

หลังนี้เป็นบ้านโทนสีขาว แต่งด้วยกระเบื้องและหินตกแต่งสีเทาเข้ม ประตูไม้ขนาดใหญ่ ด้านล่างตัวบ้านยกพื้นสูง 1 เมตร ทาสีผนังขาวเป็นฐานให้กับตัวบ้านและช่วยกันเปื้อนให้กับผนัง ทำบันไดทางขึ้นด้านหน้าตัวบ้านรอบตัวมุกด้านหน้า

แบบบ้านทรงปั้นหยา

แบบบ้านทรงปั้นหยา

แบบบ้านทรงปั้นหยา

ภายในตัวบ้าน นั้นเราจะพบกับส่วนของโถงที่มีขนาดใหญ่ ให้ใช้สอย เลือกปูพื้นกระเบื้องลายไม้เพิ่มความสว่างดูสะอาดตา ผนังทาสีเทาโทนขาว  พร้อมทั้งฝ้าหลุมขนาดยาวทาสีขาว ประดับตกแต่งโคมไฟคริสตัลดวงใหญ่และไฟซ่อนฝ้าสีสวย ฝั่งซ้ายมือนั้นจะเป็นประตูเชื่อมไปยังโซนครัว

แบบบ้านทรงปั้นหยา

ห้องนอน นั้นถูกออกแบบให้มีห้องน้ำภายในตัวและเน้นโทนสีอ่อน ๆ ทั้งผนังและพื้น ตัดบัวพื้นสีเข้มายไม้ ฝ้าเพดานใช้เป็นฝ้าเรียบทาสีขาว พร้อมกับมีหน้าต่างไว้เปิดระบายอากาศ

ห้องครัวที่อยู่ด้านหลังตัวบ้าน ใช้โทนสีสว่างและติดโคมด้านบนช่วยส่องสว่าง พื้นที่กว้างขวางสามารถวางโต๊ะทานข้าวไว้ภายในห้อง มีหน้าต่างระบายอากาศเวลาแม่บ้านทำอาหารด้วยครับ ส่วนเคาน์เตอร์ครัวนั้นเป็นแบบบิวท์อิน ติดกับผนังฝั่งหลังบ้าน ใช้โทนสีขาวช่วยกันเปื้อนให้กับครัว มีหน้าต่างช่วยรับแสงหนึ่งบาน

จบไปแล้วนะครับกับการนำเสนอ บ้านหลังนี้ จากที่กล่าวมาจะเห็นได้ว่าเป็นบ้านอีกหนึ่งตัวเลือกที่น่าสนใจ ทั้งนี้ผู้เขียนไม่ได้รับออกแบบหรือสร้างบ้านแต่อย่างใด เพียงแค่นำเสนอให้เป็นตัวอย่างเท่านั้น สำหรับใครที่ชื่นชอบหรือสนใจ ติดต่อสอบถามได้จากที่มาด้านล่างครับ

ผลงานการออกแบบ : ทีมงานรวยก่อสร้าง

ติดต่อ : 0636191556
ID line : ruuay168

หมายเหตุ : ทางเว็บ ไม่ได้มีการรับสร้างบ้าน เราลงให้ดูเพื่อเป็นไอเดียเท่านั้น หากสนใจแบบบ้านที่รีวิว สามารถติดต่อเจ้าของผลงานโดยตรงเองได้เลย ส่วนราคาก่อสร้าง ขึ้นอยู่กับสถานที่ พื้นที่ก่อสร้าง และ เกรดวัสดุ ซึ่งมีปรับขึ้น-ลงทุกปีครับ


บทความอื่นที่น่าสนใจ