วิธีเลี้ยงหมูหลุมแบบธรรมชาติ สำหรับมือใหม่ ไร้กลิ่นไม่เหม็น ต้นทุนต่ำ
วิธีเลี้ยงหมูหลุมแบบธรรมชาติ นั้นมีเป็นภูมิปัญญาสมัยเก่าบวกสมัยใหม่ เพื่อปรับตัวในการเลี้ยงหมู ที่มีต้นทุนค่าอาหารที่สูงขึ้นทุกวัน ทำให้เกษตรกรผู้ที่ทำอาชีพเลี้ยงหมูนั้นต้องปรับตัวให้เข้ากับการเปลี่ยนแปลงต่างๆ ที่เกิดขึ้นซึ่ง วิธีเลี้ยงหมูหลุมแบบธรรมชาติ นั้นยังช่วยลดกลิ่นเหม็นของขี้หมูได้เป็นอย่างดี อีกทั้งยังได้ปุ๋ยหมักแบบไม่ต้องออกแรงไว้ใส่ไร่สวนได้ด้วย
“หมูหลุม” เป็นภาษาชาวบ้านที่เรียกการเลี้ยงหมูแบบขุดหลุมลึก โดยมีวัสดุรองพื้นหลุม ดั้งเดิมมาโดยมีแนวคิดตามหลักการของ เกษตรกรรมธรรมชาติ ซึ่งเป็นรูปแบบหนึ่งของระบบเกษตรกรรมยั่งยืน เป็นการเกษตรที่ไม่เพียงแต่คำนึงถึงผลผลิตจากการเกษตรเท่านั้น แต่มีปรัชญาแนวคิดอยู่เบื้องหลังของการทำงาน เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ระบบนิเวศน์ วงจรชีวภาพห่วงโซ่อาหาร ดิน พืชสัตว์ จุลินทรีย์ พลังธรรมชาติหมุนเวียนจากพลังงานแสงแดด และน้ำ นำมาเป็นปัจจัยในการปลูกพืช เลี้ยงสัตว์ที่เกื้อกูลซึ่งกันและกัน
ข้อดีของการเลี้ยงสุกรแบบธรรมชาติ (หมูหลุม)
สำหรับข้อดีของการเลี้ยงหมูหลุมแบบธรรมชาตินั้น ก็จะมีข้อดีอยู่ด้วยกันหลายข้อเหมือนกัน ซึ่งพอจะสรุป คร่าวๆได้ดังนี้ครับ
- การเลี้ยงหมูนั้นเราสามารถใช้วัสดุต่าง ๆ ที่มีอยู่ตามธรรมชาติและในท้องถิ่น มาประกอบในการทำคอกเลี้ยงได้ ซึ่งจะประหยัดต้นทุนได้เยอะมากเหมื่อเทียบกัยการเลี้ยงหมูปรกติ
- เรื่องของกลิ่นเหม็นนั้นไม่ก่อให้เกิดปัญหากับสิ่งแวดล้อม อันเนื่องมาจากมูลสุกรและน้ำเสีย ถูกย่อยสลายด้วยจุลินทรีย์หรือน้ำหมักที่เราเติมเข้าไปในคอกอีทั้งยังมีวัสดุต่างๆ ที่ใช้รอบพื้นด้วยจึ้งหมดปัญหาเรื่องกลิ่น
- ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายในการล้างทำความสะอาดคอกและบำบัดน้ำเสีย เพราะมีระบบการหมุนเวียนที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติในคอกหรือหลุมสุกร
- มูลสุกรและวัสดุในหลุมซึ่งถูกหมักและย่อยสลายโดยจุลินทรีย์กลายเป็นปุ๋ยหมักอย่างดีนำไปเป็นปุ๋ยให้กับพืช ปรับปรุงดินบำรุงดิน หรือจำหน่ายได้
- ต้นทุนการผลิตต่ำโดยเฉพาะต้นทุนด้านอาหารสามารถลดได้ไม่ต่ำกว่า 70-80 เปอร์เซ็นต์
การสร้างโรงเรือน
สำหรับการสร้างคอกหรือโรงเรือนในการเลี้ยงหมูหลุมนั้น ไม่มีสูตรตายตัวขึ้นอยู่กับองค์ประกอบของแต่ล่ะพื้นที่ว่ามีวัสดุอุกปกรณืของแต่ล่ะพื้นที่เป็นอย่างไร แต่ก็มีหลังการคร่าวๆในการเลือกพื้นที่ในการสร้างโรงเรือน นั้นควรเป็นที่สูง น้ำท่วมไม่ถึงสร้างโรงเรือนตามแนวทิศตะวันออก และทิศตะวันตก วัสดุที่ใช้ในการก่อสร้าง ควรเป็นวัสดุที่หาได้ในท้องถิ่น เช่น โกรงหลังาทำด้วยไม้ไผ่ หลังคามุงด้วยหญ้าคา หรือหญ้าแฝก ใบจาก เป็นต้น
การสร้างคอกหมูหลุม
- หมูหลุม 1 ตัว ใช้พื้นที่ประมาณ 1.5 – 2 ดารางเมตร ซึ่งคอกขนาด 2.5 x 3 เมตร จะสามารถเลี้ยงหมูได้ 4-5 ตัว คอกขนาด 4 x 4 เมตร เลี้ยงหมูได้ 8-10 ตั
- ถ้าต้องการเลี้ยงหมูหลุม 4 – 6 ตัว ต้องใช้พื้นที่ 2.5 x 4 เมตร
- ขุดดินออกในส่วนพื้นที่จะสร้างคอก ลึก 90 เซนดิเมตร ปรับพื้นที่ให้มีระดับสม่ำเสมอ ใช้อิฐบล็อกกั้นค้านข้างคอกเหนือขอบหลุมสูง 2 เมตร
วัสดุพื้นคอก
พื้นคอกนั้นเราสามารถใช้แกลบ 10 ส่วนผสมดินละเอียด 1 ส่วน เทลงกันหลุมมีความหนา 30 ซม. แล้วใช้เกลือเม็ดประมาณ 1 ถ้วยตราไก่ โรยหน้าแล้วใช้น้ำหมักชีวภาพ 2 ช้อนแกงผสมน้ำ 10 ลิตร แล้วทิ้งไว้ประมาณ 10 วัน จึงนำหมูเข้าอยู่และควรราดน้ำหมักชีวภาพลงบนพื้นคอกเพิ่มเติมทุกๆ 5-7 วัน เพื่อช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการย่อยสลายสิ่งปฏิกูลต่าง ๆ กรณีไม่มีแกลบก็สามารถใช้อย่างอื่นแทนได้ตามความเหมาะสม เช่น ฟางข้าว หรือ ขี้เลื่อย มารองใส่ชั้นล่างสุดแทนแกลบก็ได้
การให้อาหาร
สำหรับการให้อาหารนั้นสามารถแบ่งออกได้เป็น 2 ช่วง ดังนี้
- ลูกหมูที่นำมาเลี้ยงควรมีน้ำหนัก 15 – 20 กก. ในช่วงเดือนแรก ควรให้อาหารสำหรับหมูเล็ก โดยผสมรำอ่อน ปลายข้าว กากถั่วเหลือง ปลาน หรือใช้น้ำหอยเชอรี่หมักแทนปลาปน
- หมูได้ 30 กก.ขึ้นไป อาหารหมูได้แก่ เสษอาหารเหลือทิ้งจากมนุษย์เศษพืชต่างๆ หญ้าสด หญ้าหมัก จะใช้อาหารสำเร็จรูปผสมร่วมกับอาหารที่ทำขึ้นเองบางส่วนเท่านั้น ส่วนพืชสด ใส่ให้กินในคอกเลย
ตัวอย่างสูตรอาหาร
สูตร 1
- หยวกกล้วย + มะละกอดิบ + ผักบุ้ง + เถามันเทศ + เศษผักหรือวัชพืช สับให้ละเอียด 100 กก.
- น้ำตาลทรายแดง 4 กิโลกรัม
- เกลือ 1 กิโลกรัม
- หมักทิ้งไว้ 5 ถึง 7 วัน
- ผสมหัวอาหาร 3 กิโลกรัม
- สามารถเติมน้ำหมักแบคทีเรียแลคติก
สูตร 2
- หยวกกล้วย เศษผัก ฯลฯ สับให้เป็นชิ้นเล็กๆ 25 กิโลกรัม
- น้ำใส่ถังแล้วโรยด้วยเกลือแกง 200 กรัม
- ผสมน้ำหมักชีวภาพ,หัวเชื้อจุลินทรีย์/EM 2 ฝา
- น้ำตาลทรายแดงกากน้ำตาล 1 กิโลกรัม (เทผสมแล้วปีดฝาทิ้งไว้ 5 – 7 วัน สามารถเก็บได้นาน 30 วัน)
อย่างไรก็ตาม เราควรเสริมสร้างภูมิต้านทานโรคที่มีความเสี่ยง เช่น อหิวาตัสุกร โดยการทำวัคซีนก่อนนำหมูเข้าเลี้ยง ถ่ายพยาธิโดยใช้ยาถ่ายพยาธิที่มีจำหน่ายอยู่ทั่วไป หากเกิดเจ็บป๋วยก็ทำการรักษา เราสามารถนำสมุนไพรมาใช้ทดแทนยาแผนปัจจุบันได้ แต่ต้องทำใจไว้ก่อนว่าผลการรักษาคงไม่เห็นทันตาเท่ากับยาแผนปัจจุบัน
บทความอื่นที่น่าสนใจ